ด่วน! ศาลสหรัฐ สั่งเบรก “ภาษีทรัมป์” ชี้ใช้อำนาจเกินขอบเขต

คำพิพากษาศาลรัฐบาลกลาง สั่งยกเลิกภาษีตอบโต้ทั่วโลกของ “ทรัมป์” ชี้ละเมิดขอบเขตกฎหมายฉุกเฉิน IEEPA ด้านตลาดหุ้นตอบรับทันที “ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส” พุ่งกว่า 400 จุด


เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 10:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเวลา 21.00 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ตามเวลาประเทศไทย) ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (U.S. Court of International Trade) มีคำพิพากษาว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ในการออกมาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อหลักการสำคัญในนโยบายการค้าของรัฐบาล

คำพิพากษาระบุว่า พระราชบัญญัติอำนาจเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act: IEEPA) ปี ค.ศ. 1977 ซึ่งทรัมป์ใช้อ้างอิงในการกำหนดภาษีดังกล่าว ไม่ได้ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการออกคำสั่งจัดเก็บภาษีนำเข้าในลักษณะกว้างขวางเช่นนั้น

“คำสั่งเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในระดับโลก (Worldwide and Retaliatory Tariff Orders) เกินขอบเขตอำนาจที่กฎหมายให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีภายใต้ IEEPA” ศาลระบุในคำตัดสิน

คดีดังกล่าวเกิดจากการฟ้องร้องของภาคธุรกิจอเมริกัน 5 ราย ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยศาลระบุว่า คำสั่งของทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อผู้ประกอบการทุกราย ไม่จำกัดเฉพาะผู้ฟ้องคดี และมีคำสั่ง ให้ยกเลิกและห้ามใช้คำสั่งภาษีทั้งหมดอย่างถาวร

แม้ทำเนียบขาวยังมีสิทธิดำเนินการอุทธรณ์ต่อศาลสูง แต่คำตัดสินครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “การตีกรอบอำนาจฝ่ายบริหาร” และอาจส่งผลให้ยุทธศาสตร์การค้าภายใต้รัฐบาลทรัมป์ต้องหยุดชะงัก

ประธานาธิบดีทรัมป์ เคยประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยกำหนดอัตราภาษี 10% ครอบคลุมสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ และมีอัตราสูงสุดถึง 145% สำหรับบางประเทศ ก่อนจะประกาศระงับการบังคับใช้ชั่วคราว 90 วัน เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

หลังคำวินิจฉัยถูกเผยแพร่ Bloomberg และ CNBC รายงานตรงกัน เมื่อเวลา 20:30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเวลา 07:30 น. วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ตามเวลาประเทศไทย) ว่า ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้นกว่า 450 จุด ขณะที่ S&P 500 และ Nasdaq Futures ปรับเพิ่ม 1.4% และ 1.7% ตามลำดับ

นักวิเคราะห์จาก Brookings Institution และ Council on Foreign Relations (CFR) ให้ความเห็นตรงกันว่า “คำตัดสินครั้งนี้จะกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตีกรอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในการกำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ช่องทางภาวะฉุกเฉินเป็นหลัก”

Back to top button