
จับตา กนง. คงดอกเบี้ย 1.50% พ่วงรอดูทิศทางการเงินยุคผู้ว่าแบงก์ชาติ “วิทัย”
เดือนตุลาคม ซึ่งมักถูกมองว่าเป็น “เดือนแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ของเศรษฐกิจไทย ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ “วิทัย รัตนากร” เตรียมนำทีมประชุม กนง. นัดแรก 8 ต.ค.นี้ คาดคงดอกเบี้ย 1.50% ตลาดจับตาสัญญาณทิศทางนโยบายการเงิน-การคลังยุคใหม่
เดือนตุลาคม ว่ากันว่าเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงของปี ทั้งฤดูกาล อุณหภูมิ รวมถึงจังหวะการทำงานของภาครัฐและเอกชน ที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปีเศรษฐกิจ
ปีนี้ “การเปลี่ยนผ่าน” เกิดขึ้นทั้งในเชิงบุคคลและนโยบาย เมื่อ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ “วิทัย รัตนากร” เข้ารับตำแหน่ง

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โคจรมาถึงรอบพอดิบพอดี ผู้ว่า “วิทัย” พร้อมคณะกรรมการใหม่ 2 ท่าน “สุวรรณี เจษฎาศักดิ์” และ “เชาว์ เก่งชน” เตรียมเข้าประชุมนัดแรกในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ท่ามกลางความคาดหวังว่า การดำเนินนโยบายการเงินควบคู่การคลังยุคใหม่ จะประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้สมดุล ก่อนประเทศเข้าสู่ปีเลือกตั้ง 2569 ได้หรือไม่
นับหนึ่ง ชุดนโยบายการเงินใหม่
ในการแถลงวันเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ผู้ว่า “วิทัย” กล่าวถึงภารกิจเร่งด่วนของธนาคารกลางว่า “ปัญหาระยะสั้นมีหลายประการที่ต้องเร่งเข้าไปดูแล… แต่แน่นอนเราต้องยึดภารกิจหลักของเรา เรื่องเสถียรภาพและมีความเป็นอิสระ”
ถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนจุดยืนชัดเจนของธนาคารกลางในยุคใหม่ ที่ยังคงรักษาความเป็นอิสระทางนโยบาย ขณะเดียวกันก็พร้อมประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของปี
สัญญาณจากนักวิเคราะห์ “คงก่อน ลดปลายปี”
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) มองว่า กนง. อาจลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4 (ลงเหลือราว 1.25%) เพื่อช่วยให้ภาวะการเงิน “คลายตัว” มากขึ้นในช่วงท้ายปี เหตุผลหลักคือ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว เงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง และเงินบาทแข็ง ซึ่งกดดันทั้งภาคส่งออกและฐานะของภาคธุรกิจ-ครัวเรือน
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (TISCO) ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 2568 เป็น 1,334 จุด เชื่อว่าแรงหนุนจากรัฐบาลใหม่ และแนวโน้มนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในช่วงปลายปี จะช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย โดยมองว่า กนง. อาจทยอยลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรักษาสมดุลทางนโยบายและรองรับแรงกดดันเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
ทั้ง SCB EIC และ TISCO เห็นพ้องว่า โอกาส “คงดอกเบี้ย” ในการประชุม 8 ตุลาคมนี้ มีน้ำหนักมากกว่า เพราะการลดทันที อาจ “เร็วเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ หลายสถาบันเน้นว่า “จังหวะเวลา” คือหัวใจสำคัญ กนง. ชุดใหม่อาจเลือกให้สัญญาณช้าแต่มั่นคง มากกว่าการเร่งรีบ
ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตา ได้แก่ สถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมถึงกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทที่แข็ง–อ่อนผันผวน ซึ่งล้วนเป็นตัวแปรที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ในแต่ละวัน
ตลาดเงิน-ตลาดหุ้นรอผล กนง.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ที่ประชุม กนง. นัดนี้จะมีมติ “ไม่เป็นเอกฉันท์” คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% หลังจากปรับลดลง 0.25% เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อรอดูผลของมาตรการจากรัฐบาลใหม่ที่ทยอยส่งผ่านสู่เศรษฐกิจจริง พร้อมประเมินว่า กนง. มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 0.25% ในเดือนธันวาคม และอาจผ่อนคลายต่อเนื่องในครึ่งแรกปี 2569 หากแรงฟื้นตัวยังจำกัด
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (6-10 ต.ค.) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,270-1,315 จุด โดยมีแนวรับที่ 1,270 และ 1,245 จุด และแนวต้านที่ 1,300 และ 1,315 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ทั้งผลการประชุม กนง. วันที่ 8 ตุลาคม, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายน, สถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ, ถ้อยแถลงของประธานเฟด และเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึงบันทึกการประชุมเฟด (FOMC Minutes) ซึ่งทั้งหมดอาจส่งผลต่อทิศทางกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย และจังหวะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในระยะสั้น
ฝั่งการคลังเตรียมรับแรงสั่นสะเทือนโลก
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ว่า หากสถานการณ์ “ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ” ลุกลาม รัฐบาลไทยควรเตรียมยุทธศาสตร์รองรับ โดยเสนอแนวทางหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. ดูแลเสถียรภาพค่าเงิน ธปท. ควรพร้อมใช้เครื่องมือดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไปจนกระทบต่อภาคส่งออก-นำเข้า 2. บริหารความเสี่ยงด้านส่งออก หาตลาดเสริม เช่น จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง พร้อมประสานทูตพาณิชย์กับสหรัฐฯ หากเกิดอุปสรรคด้านศุลกากร และ 3. จัดมาตรการช่วยภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs และมาตรการ FX hedging สำหรับผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
ตุลาคมปีนี้จึงไม่ใช่เพียงเดือนแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยน แต่ยังเป็นเดือนที่ ธนาคารกลางไทยเริ่มปักหมุดทิศทางนโยบายใหม่ ภายใต้ผู้ว่า “วิทัย รัตนากร” ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุดร่วมที่อาจช่วยให้การประสานนโยบายการเงิน-การคลัง เดินไปในทิศทางเดียวกันได้ราบรื่นมากขึ้น
เดือนตุลาคมนี้ จึงเป็น “เดือนของการจับตา”
ไม่ใช่เพื่อรอ “งัดไม้เด็ด”
แต่เพื่อดูว่า “แนวทางที่มั่นคง” ของนโยบายการเงินไทยจะเริ่มต้นอย่างไร ในยุคใหม่ที่ทุกสายตากำลังเฝ้ามอง
บทความที่เกี่ยวข้อง :
โจทย์หินรอท้าทาย! “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” คนใหม่ ต้องแม่นเกมเงิน-สื่อสารอย่างมีศิลป์