“คนละครึ่งพลัส” หนุนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแตะ 50.9% นิวไฮรอบ 7 เดือน

สนค. กระทรวงพาณิชย์ ชี้มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และบรรยากาศท่องเที่ยวปลายปี หนุนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแตะระดับเชื่อมั่นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ขณะหนี้ครัวเรือนยังเป็นแรงกดดันหลัก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 พ.ย.68) นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,437 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 7 เดือน ที่ระดับ 50.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา

จากการประกาศใช้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามปัญหาทางการเงินทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายที่อยู่ในระดับสูงของประชาชน รวมถึงบรรยากาศความไม่แน่นอนของสถานการณ์โดยรวมในประเทศ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน จึงจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 50.9 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่น เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน (เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 49.4) สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) คาดว่า อยู่ที่ระดับ 57.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 56.0 ในเดือนก่อนหน้า

โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่นมาจาก

1. การเร่งขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ อาทิ โครงการ คนละครึ่ง พลัส และการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ รวมถึงนโยบายอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว

2. ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยในช่วงวันหยุดยาวและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจการค้าและบริการ และ 3. ภาพรวมการส่งออกยังเติบโตได้ดี

แต่ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับ 40.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.6 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่น มาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลของประชาชนต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ช้า ภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไปบางส่วนแล้ว และสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เผชิญกับการแข่งขันสูงในตลาดโลก

นอกจากนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย เป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด49.51% รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ 16.03% สังคมและความมั่นคง 8.17% เศรษฐกิจโลก 8.08% ราคาสินค้าเกษตร 7.58% การเมือง 6.54% โดยผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 1.93% ภัยพิบัติและโรคระบาด 1.40% และ อื่น ๆ 0.76%

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 3 ภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 56.0 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 52.9 และภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 51.1 ในขณะที่ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 48.6 แม้อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่นแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย และภาคกลาง คงที่อยู่ที่ระดับ 48.8

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ 7 อาชีพ พบว่า 4 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 55.1 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 53.1 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.0 และพนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 50.0 ในขณะที่ 3 กลุ่มอาชีพดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 49.8 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.4 และ อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 49.2 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 46.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น

นายนันทพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 7 เดือน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากแนวโน้มการส่งออกที่ยังขยายตัว และความหวังต่อภาคการท่องเที่ยวจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปี รวมไปถึงการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่มีการประกาศความชัดเจนของโครงการในเดือนตุลาคมยิ่งเป็นแรงผลักให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มมากขึ้นและลดความกังวลของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มช่วยบรรเทาความกังวลได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินของประชาชนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สร้างความกังวลและเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางสังคมและสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศที่รุนแรงขึ้นอาจเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในอนาคตจึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้ามาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความกังวลของประชาชน อาทิ มาตรการธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน เตรียมความพร้อมสำหรับภาคธุรกิจ MSME เพื่อเปิดโอกาสและศักยภาพใหม่ในการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงเสริมสร้างข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการ ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์ และเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวและเทศกาลช่วงปลายปี อาทิ การควบคุมราคาสินค้าในช่วงเทศกาล และส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชนในช่วงเวลาสำคัญ จะช่วยลดความกังวลของประชาชนและส่งเสริมบรรยากาศเชิงบวกที่เอื้อต่อการใช้จ่ายและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

กระทรวงการคลังสรุปยอดใช้จ่าย “คนละครึ่ง พลัส” ช่วง 6 วันแรก (29 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2568) 13,427 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินที่ประชาชนจ่าย 6,797 ล้านบาท เงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 6,630 ล้านบาท ร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ และผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้ว ล่าสุดมีจำนวน 826,305 ร้านค้า

Back to top button