
“พลังงาน” ยันรับซื้อไฟสะอาด 2,100 MW ถูกกฎหมาย โปร่งใส–ไม่กระทบค่าไฟรวม
กระทรวงพลังงาน ย้ำกระบวนการรับซื้อไฟฟ้าสะอาด 2,100 MW เป็นไปตามมติ กพช.–กกพ. และผ่านการตรวจสอบตามกฎหมาย ระบุว่าช่วยลดนำเข้า LNG ลดการปล่อยคาร์บอน และไม่ส่งผลต่อค่าไฟรวม เร่งจัดทำแผน “PDP 2025” รองรับสัดส่วนพลังงานสะอาดในระบบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 พ.ย.68) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงข้อกังวลกรณีรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดรวม 2,100 เมกะวัตต์ (MW) ว่า กระทรวงพลังงานยืนยันกระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และผ่านการดำเนินงานของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวย้ำว่า ได้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกรมบัญชีกลางร่วมพิจารณา ซึ่งผลคือกระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นายวีรพัฒน์ ระบุว่า การเปรียบเทียบราคารับซื้อไฟฟ้าของภาคเอกชนต้องพิจารณาต้นทุนภาพรวม ได้แก่ การซื้อหรือเช่าที่ดิน การเดินสายส่งเชื่อมต่อ รวมถึงดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงิน ซึ่งโดยโครงสร้างแล้วจะสูงกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เล็กน้อย
กฟผ. ได้ประเมินกรณีดำเนินโครงการในเงื่อนไขเดียวกับเอกชน พบว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 2.19 บาทต่อหน่วย สำหรับโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม และ 4.37 บาทต่อหน่วย สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลม
ทั้งนี้ กพช. มีมติให้ กกพ. และ กฟผ. ขอความร่วมมือภาคเอกชนในการปรับลดราคาขายไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกราย
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ยังมีแผนให้ กฟผ. ก่อสร้างโซลาร์ลอยน้ำเพิ่มเติมกว่า 2,600 เมกะวัตต์ และมีโอกาสขยายกำลังผลิตเพิ่มเติมตามโครงสร้างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำในปี 2025
สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนกำลังผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล มีเป้าหมายยกระดับความมั่นคงพลังงานในพื้นที่ และช่วยลดค่าไฟลง 40–80 สตางค์ต่อหน่วย เบื้องต้นคาดอัตรารับซื้อไฟฟ้าอยู่ที่ 2.16–2.20 บาทต่อหน่วย คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท
โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด รวมถึงโซลาร์ฟาร์มชุมชน จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้ประมาณ 720,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission) ได้ราว 2.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ปี 2593 (2050)
นายวีรพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพลังงานจะเร่งจัดทำ PDP 2568 (2025) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อกำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งด้านต้นทุนและความมีเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

