
ส่อง 8 หุ้น “อาหาร–พลังงาน–ค้าปลีก” สะเทือน! ปมร้อนชายแดน “ไทย–กัมพูชา” ยืดเยื้อ
บล.ดาโอ ประเมินสถานการณ์ตึงเครียด “ไทย–กัมพูชา” เพิ่มขึ้น หลังปิดด่าน-กัมพูชาสั่งเบรกนำเข้าสินค้าไทย คาดกระทบหุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม–พลังงาน–ค้าปลีก โบรกชี้ CBG เสี่ยงสูงสุดหลังยอดขายกัมพูชาสัดส่วนกว่า 13% ด้าน OR–TOP–CPALL เจอกระทบบ้างแต่ยังจำกัด ขณะที่ SAV โดนจับตาธุรกิจวิทยุการบิน หลังเผชิญความไม่แน่นอน
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(23มิ.ย.68) โดยประเมิน หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดไทยกัมพูชาที่เพิ่มขึ้น จากกรณีแม่ทัพภาค 2 เตรียมลงนามปิดด่านอีก 2 ด่าน พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ประกาศคำสั่งปิดด่านชายแดนการค้ากับกัมพูชา ช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มีผล 21 มิ.ย.2568 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่2 เตรียมลงนามปิด “ด่านช่องสะงำ’ จ.ศรีสะเกษ และ ‘ด่านช่องจอม’ จ.สุรินทร์เพิ่มเติม หลังจาก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งปิดถาวร 2 ด่าน คือ ช่องจอม-จุ๊กโกกี จังหวัดอุดรมีชัย วันที่ 21 มิ.ย. ทันที คำสั่งปิด 2 ด่านดังกล่าว เป็นจุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด่านช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ และด่านช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ กัมพูชาประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ประกาศว่าตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 22 มิ.ย.2568 เป็นต้นไป
กัมพูชาจะระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศไทยทั้งหมดโดยอ้างว่าบริษัทน้ำมันในกัมพูชาสามารถนำเข้าจากแหล่งอื่นได้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ สมเด็จฮุน เซน แนะนำรัฐบาลกัมพูชาและผู้ประกอบการระงับการนำเข้าสินค้ากระป๋องจากไทย โดยสมเด็จฮุน เซน แนะนำให้รัฐบาลกัมพูชาและผู้ประกอบการพิจารณาหันเหการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยมีเหตุผลมาใช้ข่มขู่อีกต่อไป และหากปัญหาด่านชายแดนยังไม่ได้รับการแก้ไข กัมพูชาควรระงับการนำเข้าสินค้ากระป๋องทุกชนิดจากประเทศไทย ซึ่งรวมถึง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มให้พลังงาน ปลากระป๋อง หรือเนื้อสัตว์กระป๋อง และหันมาใช้สินค้าผลิตในประเทศหรือสินค้าที่น าเข้าจากประเทศอื่นแทน
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็นลบต่อกลุ่ม Food & Beverage (Energy Drink), กลุ่มพลังงาน,และค้าปลีกแต่มีผลกระทบจำกัดต่อกลุ่มอาหารกระป๋องส่งออก โดยมองว่า CBG และ OR จะกระทบมากสุดกลุ่ม Food & Beverage (Energy Drink)
สำหรับกลุ่ม Food & Beverage (Energy Drink)
บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แนะนำซื้อราคาเป้า 79.00 บาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาประมาณ 13% ของรายได้รวม ซึ่ง CBG มี market เป็นอันดับ 1 ของกัมพูชาโดยมากกว่า 50% และต่างกับอันดับ 2 ซึ่งเป็นผู้ผลิต local ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ CBG ส่งออก ผ่านด่านอรัญประเทศและสระแก้ว ปัจจุบันยังส่งออกได้ปกติ
อีกทั้งทาง CBG และ distributor ได้มีแผนป้องกันการปิดด่านไทย-กัมพูชาไว้เรียบร้อยแล้ว โดย ทาง distributor ได้สต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นบางส่วนเพื่อป้องกันของขาดตลาด ปัจจุบันมีสต๊อกที่ 1 เดือน และเตรียมแผนส่งทางเรือ กรณีปิดด่าน โดย distributor เป็นผู้รับค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มทั้งหมด อย่างไรก็ตาม distributor ที่ กัมพูชาเผยยอด sell-out ปัจจุบันยังปกติ
หากไม่มีรายได้จากกัมพูชาในเดือน ก.ค. -ธ.ค. 2568 จะกระทบกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 340 ล้านบาท หรือเป็น downside ที่ -10% โดย หากอิง target PE ที่ 24 เท่า หรือ -1.25SD จะได้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 71 บาท และในกรณี worst case อิง target PE ที่ 17.2 เท่า หรือ -2SD จะได้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 51 บาท ในกรณีที่ไม่มีรายได้กัมพูชาเลยในปี 2569 ทั้งปีจะกระทบกำไรสุทธิปี 2569 ที่ 812 ล้านบาท หรือเป็น downside ที่ -22% โดย หากอิง target PE ที่ 24 เท่า หรือ -1.25SD จะได้ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 69 บาท และในกรณี worst case อิง target PE ที่ 17.2 เท่า หรือ -2SD จะได้ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 49 บาท ซึ่งมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนเหตุการณ์ข้างต้นไปพอสมควร แล้ว
ด้านโรงงานที่กัมพูชายังเป็นไปตามแผนทุน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ (CBG 60%, Distributor กัมพูชา 40%) ปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว 10 ล้านเหรียญ สหรัฐ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในไตรมาส 3/68-ต้นไตรมาส 4/68 และเริ่มขนย้าย เครื่องจักรจากไทยเข้าไป โดยจะ COD ช่วงต้นไตรมาส 1/69 ทั้งนี้คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 3,301 ล้านบาท (โต 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 79 บาท อิง PER 24.0x (ใกล้เคียง -1.25 SD ต่ำกว่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) มองว่าผลประกอบการจะเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,เทียบไตรมาสก่อนหน้าตั้งแต่ไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป
กลุ่มพลังงาน
บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR แนะนำขายราคาเป้า 12.50 บาท โดยเชื่อว่าข่าวนี้จะมีผลกระทบจำกัดต่อ OR แม้ว่าปริมาณขายน้ำมันในกัมพูชาจะคิดเป็นประมาณ 28-30% ของปริมาณขายน้ำต่างประเทศทั้งหมดในไตรมาส 1/68 แต่กัมพูชานั้นสร้าง EBITDA คิดเป็นเพียงประมาณ 4% ของ EBITDA ทั้งหมดของ OR เท่านั้น นอกจากนี้เชื่อว่าแม้จะมีการห้ามการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย แต่บริษัทย่อยของ OR ในกัมพูชาก็น่าที่จะนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่นมาขายแทนได้ ทั้งนี้ OR มี สถานีบริการน้ำมัน 186 แห่ง, ร้าน Café Amazon 254 ร้าน, และร้านสะดวก ซื้อ 71 แห่งในกัมพูชา (ณ สิ้นไตรมาส 1/68)
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แนะนำซื้อราคาเป้า 36.00 บาท เชื่อว่ามีผลกระทบจำกัดต่อ TOP ซึ่งมี รายได้จากการส่งออกรวมไปประเทศในกลุ่ม CLMV ประมาณ 10% ของ ยอดขายรวม (เราประเมินว่ายอดขายไปกัมพูชาจะอยู่ที่ประมาณ 5%-8%)
กลุ่มค้าปลีก
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL แนะนำถือราคาเป้า 8.00 บาท มี 2 สาขาในพนมเปญและพระตะบอง (ถือ 55%) สัดส่วนรายได้น้อยกว่า 2%
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 30.00 บาท มี 3 สาขาในพนมเปญและเสียมเรียบ สัดส่วนรายได้น้อยกว่า 1%
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 70.00 บาท มีสาขาของ 7-eleven รวมจำนวนสาขา 112 สาขาในกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนรายได้น้อยกว่า 1%
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แนะนำถือราคาเป้า 10.50 บาท ได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วน รายได้ส่งออกไปตลาดกัมพูชา <0.01% ของรายได้รวม
บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV แนะนำซื้อราคาเป้า 21.00 บาท มีความเสี่ยงและเป็น overhang จากการ ดำเนินธุรกิจหลัก วิทยุการบินในกัมพูชา ได้สัมปทานถึงปี 2051 หรือ ปี 2594
ขณะที่ล่าสุด SAV เปิดเผยกับ “ทีมข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า ปัจจุบันธุรกิจด้านวิทยุการบินของ SAV ในประเทศกัมพูชา ยังไม่ได้รับผลกระทบในการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงบริษัทจะแจ้งให้ทุกท่านทราบโดยเร็ว หรือหากท่านมีข้อสงสัยประการใดสามารถติดต่อบริษัทได้ทันทีค่ะ