MAGURO เปิดกำไร Q3 ออลไทม์ไฮ 38 ลบ. โต 30% รับยอดขายสาขาใหม่-เดิมพุ่ง พร้อมคุมต้นทุนดี

MAGURO รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 38.13 ล้านบาท ออลไทม์ไฮทุกไตรมาส เพิ่มขึ้น 30.01% จากปีก่อน ขณะที่งวด 9 เดือนแรกมีกำไร 102.73 ล้านบาท โต 64.71% จากรายได้สาขาใหม่และสาขาเดิมที่เติบโต รวมถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ


บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 และงวด 9 เดือนแรกของปี สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ดังนี้

บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 38.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.01% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 29.33 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายและการให้บริการที่อยู่ที่ 521.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.70% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 355.70 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการขยายตัวของรายได้จากการขายตามการเปิดสาขาใหม่ และอัตราการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ -9.8% ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ -2.7% ในไตรมาสนี้ สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของยอดขายสาขาเดิม ควบคู่กับการบริหารอัตรากำไรขั้นต้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 102.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.71% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 62.37 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 1,384.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 410.40 ล้านบาท

การเติบโตของรายได้ได้รับการสนับสนุนจากการเปิดสาขาใหม่จำนวน 11 สาขา ประกอบด้วย ร้านมากุโระ คัปโปะ 1 สาขา ร้านฮิโตริ ชาบู 3 สาขา ร้านคุคูว์ 1 สาขา ร้านทงคัตสึ อาโอกิ 4 สาขา ร้านบินโช 1 สาขา และร้านคิวามิยะ 1 สาขา ซึ่งช่วยส่งเสริมยอดขายรวมของบริษัทฯ ให้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม ( SSSG) ปรับตัวดีขึ้น และบริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและรักษาฐานลูกค้า โดยเน้นการออกเมนูใหม่ที่หลากหลายและสร้างความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า

ด้านกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 224.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51.0% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับรายได้จากการขายและการให้บริการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นสำหรับงวด 9 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 2.8% เป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ราคาวัตถุดิบหลักบางรายการปรับลดลง ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงรักษาคุณภาพวัตถุดิบและประสบการณ์ลูกค้าในระดับสูง อีกทั้งยังดำเนินกลยุทธ์ Value Chain Optimization ผ่านการพัฒนาเมนูที่ยืดหยุ่นต่อการใช้วัตถุดิบ และการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากแบรนด์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

Back to top button