ILM บวก 3% จับตากำไร Q2 โตทะลัก 57% แตะ 160 ล้าน โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้า 21.50 บาท

ILM บวก 3% ลุ้นผลงานไตรมาส 2/65 โกยกำไรสุทธิ 160 ล้าน โต 57% ชูยอดขาย SSSG ขยายตัวดี-รายได้ค่าเช่าเพิ่ม โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้า 21.50 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ส.ค.65) ราคาหุ้นบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM  ณ เวลา 11:44 น. อยู่ที่ระดับ 17.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.94% ราคาสูงสุดที่ระดับ 17.70 บาท ราคาต่ำสุดที่รัดบ 16.80 บาท  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 50.78 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ILM ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 21.50 บาท โดยประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 จะมีกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาส 1/2565 ที่มีกำไรสุทธิ 161 ล้านบาท และเติบโต 57.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 101 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) 13% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 (ไม่รวมธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า)

ขณะเดียวกัน ยังมีรายได้ค่าเช่าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่ไม่มีการให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าแล้ว รวมถึงรายได้ค่าเช่าจาก บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 และปล่อยเช่าพื้นที่ให้กับ shopee มากขึ้น ส่งผลให้รายได้เติบโต 4.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 แต่ทรงตัวจากไตรมาส 1/2565 หลังช่วงเดือน มิถุนายน 2565 ยอดขายชะลอตัว

ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับตัวสูงขึ้นที่ 46.1% จากไตรมาส 1/2565 เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับขึ้น เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเริ่มเมื่อปลายเดือน พฤษภาคม 2565 และมีการสต๊อกวัตถุดิบล่วงหน้า 2 เดือน

อย่างไรก็ตาม GPM ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 จากการยกเลิกธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำ และปรับราคาขายขึ้นราว 10% ตั้งแต่เดือน มกราคม 2565 เป็นต้นมา และสัดส่วนรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นชดเชยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ที่ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 เป็นไปตามต้นทุนพนักงาน, ค่าขนส่ง และค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ที่ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 36.1%

ก่อนหน้านี้ นางกนกวรรณรัตน์ ศรีมณีศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายบัญชีและการเงิน และเลขานุการ ILM เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้จากการขายเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก (Double-digit Growth) จากปี 2564 ที่มีรายได้จากการขาย 8,317 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายสาขาเดิมที่จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และไม่มีการปิดสาขาบริการเหมือนปี 2564

ขณะที่รายได้จากค่าเช่า (Rental Income) จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากค่าเช่าสาขาของ COM7 ที่ได้ส่งมอบพื้นที่ไปครบตามสัญญาแล้วเมื่อปลายเดือน มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ทดแทนพื้นที่เพาเวอร์วัน (Power One) ที่ปรับลดลงไป บวกกับค่าเช่าพื้นที่ในส่วนอื่น ๆ ที่กลับมาหลังคลายล็อกกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก

สำหรับในปี 2565 บริษัทวางงบลงทุนไว้รวมประมาณ 500 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรในโรงงานผลิตและศูนย์กระจายสินค้า การปรับปรุงสาขาเดิม และเปิดสาขาใหม่ 1 แห่ง คือ สาขาลาดกระบัง ภายในช่วงสิ้นปี 2565 ด้วยรูปแบบสาขามิกซ์ยูส (ปล่อยเช่า 50%) ซึ่งได้มีการศึกษาแล้วว่าเป็นโซนที่มีการเติบโต ส่วนเรื่องต้นทุนในการผลิต ยังสามารถควบคุมได้ในระดับเหมาะสม เพราะมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง

Back to top button