CBG เด้ง 2% โบรกชี้กำไร Q2 แตะ 762 ล้านบาท รับยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังพุ่ง

CBG บวก 2% โบรกมองกำไรไตรมาส 2/68 เติบโต 10% แตะ 762 ล้านบาท คาดยอดขายทะลุ 5.7 พันล้านบาท หลังเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศเติบโต 25% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 97 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (17 ก.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ณ เวลา 10:19 น. อยู่ที่ระดับ 55.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 2.29% สูงสุดที่ระดับ 56.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 54.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25.33 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ประมาณการกำไรหลักไตรมาส 2/68 ของ CBG จะเติบโต 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 762 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของยอดขาย 13% จากปีก่อนเป็น 5.6 พันล้านบาท และมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศเติบโต 25% จากปีก่อนเป็น 1.7 พันล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศ 1.2% จากปีก่อนเป็น 25.1% ยอดขายจากการจัดจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นเหล้าขาว เติบโต 25% จากปีก่อนเป็น 2.2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากความนิยมของเหล้าขาว

มีเพียงยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในต่างประเทศเท่านั้น ที่ลดลง 2.4% จากปีก่อนเป็น 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากความอ่อนแอของยอดขายในกลุ่ม CLMV ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1% เป็น 1.32 พันล้านบาท เนื่องจากยอดขายในกัมพูชาลดลงประมาณ 10% จากปีก่อน จากการปิดพรมแดนกัมพูชา หลังจากนั้นสินค้าถูกจัดส่งทางทะเลแทน

อีกทั้ง ฝ่ายนักวิเคราะห์เชื่อว่าความล่าช้าในการขาย จะส่งผลดีต่อยอดขายในไตรมาส 3/68 ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นอาจลดลง 0.3% จากไตรมาสก่อนเป็น 27.1% จากภาษีน้ำตาลที่สูงขึ้นเนื่องจากอัตราภาษีน้ำตาลใหม่เริ่มใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 68 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลง 0.2% จากปีก่อนเป็น 20.8% เนื่องจากการประหยัดต่อขนาดจากการเติบโตของยอดขายที่ดี โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 97 บาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง CBG แนวโน้มกำไตรมาส 2/68 อาจต่ำกว่าที่เคยคาดเล็กน้อยเพราะถูกกระทบจากการปิดด่านไทย-กัมพูชาในเดือน มิ.ย.68 โดยอาจทำให้รายได้กัมพูชาไตรมาส 2/68 ปรับลดลง 10% จากไตรมาสก่อนและลดลง 15% จากปีก่อนหน้าผิดไปจากเดิมที่คาดเติบโต เพราะปัญหาการปิดด่านทำให้มีคำสั่งซื้อบางส่วนจัดส่งไม่ทัน

จากปัจจัยดังกล่าว จึงคาดกำไรไตรมาส 2/68 อยู่ที่ราว 801 ล้านบาท (เดิมคาดไว้ 828 ล้านบาท) แต่ยังเป็นกำไรที่โต 5% จากไตรมาสก่อนและ 16% จากปีก่อนหน้า

ขณะที่ปัจจุบัน CBG ได้เปลี่ยนมาขนส่งสินค้าเข้ากัมพูชาผ่านทางเรือและคำสั่งซื้อที่เลื่อนมาจะมาอยู่ในไตรมาส 3/68 บริษัทจึงปรับเพิ่มเป้ารายได้กัมพูชาในไตรมาส 3/68 ขึ้นเป็นเติบโต 10% จากไตรมาสก่อนเดิมคาดโต 5% จากไตรมาสก่อนแม้มีอุปสรรคด้านขนส่ง แต่ภาพรวม Demand ในกัมพูชายังปกติ ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเร่งการก่อสร้างโรงงานและย้ายเครื่องจักรจากไทยไปกัมพูชา โดยเลื่อนแผนการ commercial run เร็วขึ้น 1 เดือน เป็น ธ.ค. 68 ขณะที่บริษัทยังให้แนวโน้มครึ่งปีหลัง จะดีขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แต่ฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองระมัดระวังมากขึ้น โดยต้องติดตาม 2 ประเด็น คือ

1.) ส่วนแบ่งการตลาดเดือน พ.ค. ที่ลดลง 0.6% เมื่อเทียบระหว่างเดือนมาอยู่ที่ 25.1% ต่ำกว่าเป้าสิ้นปี 68 ที่ 29% พอควร แม้บริษัทอาจปรับลดเป้าเป็น 27% แต่ก็ยังท้าทายในมุมของเรา

2.) หากสถานการณ์กัมพูชายืดเยื้อ อาจทำให้รายได้ครึ่งปีหลัง ต่ำกว่าเป้าก็เป็นได้ ทั้งยี้ยังต้องติดตามต่อไป เพราะทั้ง 2 ประเด็นเป็น downside ต่อประมาณการของเราแนะนำเก็งกำไร

นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าในไตรมาส 2/68 CBG จะมีผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิเติบโต 21.6% จากปีก่อน เป็น 840 ล้านบาทจากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศที่เพิ่มขึ้น 30% และรายได้จากการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเบียร์ที่เติบโตแข็งแกร่ง

ซึ่งรายได้ที่เติบโตสูงเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว จากการลดสต็อกของผู้จัดจำหน่ายนอกจากนี้ คาดว่า CBG จะมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ทรงตัวที่ 40.3% แม้จะมีการปรับขึ้นภาษีน้ำตาลในเดือนเม.ย. 68 เนื่องจากต้นทุนการผลิตลดลงและ operating leverage เพิ่มขึ้นตามปริมาณขาย

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI  ระบุว่า ขณะที่ธุรกิจในประเทศยังมีแนวโน้มดี แต่ธุรกิจในต่างประเทศมีทิศทางแตกต่างกัน โดยประมาณการว่ายอดส่งออกในไตรมาส 2/68 จะลดลง 4% yoy นำโดยยอดขายในกัมพูชาที่ลดลง เนื่องจากมีการจำกัดการขายรอบสถานศึกษาและปัญหาข้อพิพาทชายแดน แต่ยอดขายในเมียนมากำลังอยู่ในขาขึ้นและน่าจะเติบโต 10% yoy ก่อนที่โรงงานใหม่จะเปิดเชิงพาณิชย์ในเดือนก.ค. 68

อย่างไรก็ตาม มองว่ากำลังการผลิตในประเทศพม่าที่มีอยู่จำกัด ซึ่งทำให้ยังต้องพึ่งพิงการส่งออกจากไทยอาจจำกัด upside ในระยะสั้น ดังนั้น จึงประมาณการว่ายอดขายในต่างประเทศจะเติบโตเพียง 5-6% ในปี 69-70

ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ปรับประมาณการ EPS ของ CBG ลง 3.4-4.3% ในปี 68-70 หลังเห็นสัญญาณที่ชี้ว่าตลาดในประเทศใกล้จะเติบโตเต็มที่แล้ว และปัจจัยลบที่ส่งผลต่อยอดขายในกัมพูชา โดยข้อได้เปรียบด้านราคาของเครื่องดื่มคาราบาวแดงค่อยๆ ลดลงหลัง OSP เปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังราคา 10 บาท ซึ่งทำให้ส่วนแบ่งตลาดของคาราบาวแดงทรงตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 4/67 นอกจากนี้ แม้รายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายจะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ธุรกิจนี้มี margin ต่ำจึงส่งผลดีต่อกำไรค่อนข้างน้อย

ดังนั้น การที่ธุรกิจ margin สูงเติบโตลดลง ในขณะที่ธุรกิจ margin ต่ำขยายตัว ทำให้เชื่อว่ากำไรสุทธิของ CBG อาจเติบโตสูงกว่านี้ได้จำกัด หลังจากปี 68

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI  เชื่อว่า CBG จะเปลี่ยนเป็นหุ้นปันผลคุณภาพสูง เนื่องจากงบลงทุนน่าจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากปี 69 และบริษัทยังไม่มีแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในเร็วๆนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับงบดุลและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งบริษัทมีความจำเป็นในการลงทุนไม่มาก จึงประมาณการว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในปี 69 และอาจแตะ 90-100% ตั้งแต่ปี 70 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นจาก 3.1% ในปี 68 เป็น 6.2% ในปี 70

ยังแนะนำ “ซื้อ” CBG แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 69.50 บาท ซึ่งจะเท่ากับ P/E 20 เท่า ในปี 69 และอัตรา ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.0% ทั้งนี้เชื่อว่าการลงทุนใน CBG มีผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง โดยบริษัทน่าจะมีกำไรเติบโตดีในระยะสั้นและรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว อย่างไรก็ตาม CBG จะมี downside risk หากผลการดำเนินงานในกัมพูชายังอ่อนตัวและ margin ถูกกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่วนปัจจัยบวกคือการริเริ่มโครงการเพื่อการเติบโต/การซื้อกิจการและผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเร็วกว่าคาดในเมียนมา

Back to top button