พาราสาวะถี

การได้รับปล่อยตัวโดยคำสั่งศาลอุทธรณ์ของ 8 แกนนำกปปส. ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย ระยะเวลาในการคุมขังในเรือนจำที่ไม่ถึง 48 ชั่วโมง ไม่ใช่ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หากแต่มีคำถามเกิดขึ้นกับบรรดาแกนนำม็อบมีเส้นว่า เหตุใดจึงไม่ถูกจับตัดผมสั้นทรงนักโทษเหมือนที่ผู้ต้องขังคดีการเมืองคนอื่น ๆ ถูกดำเนินการก่อนหน้านี้ ฟังคำชี้แจงจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์แล้วอยู่เฉย ๆ เสียยังดีกว่า ยิ่งอธิบายยังไงมันก็เป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น


อรชุน

การได้รับปล่อยตัวโดยคำสั่งศาลอุทธรณ์ของ 8 แกนนำกปปส. ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย ระยะเวลาในการคุมขังในเรือนจำที่ไม่ถึง 48 ชั่วโมง ไม่ใช่ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หากแต่มีคำถามเกิดขึ้นกับบรรดาแกนนำม็อบมีเส้นว่า เหตุใดจึงไม่ถูกจับตัดผมสั้นทรงนักโทษเหมือนที่ผู้ต้องขังคดีการเมืองคนอื่น ๆ ถูกดำเนินการก่อนหน้านี้ ฟังคำชี้แจงจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์แล้วอยู่เฉย ๆ เสียยังดีกว่า ยิ่งอธิบายยังไงมันก็เป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น

สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ คือ รับคำสั่งจากใครมาถึงอำนวยความสะดวกกันจนถูกประณามว่าเลือกปฏิบัติ ยอมเอาศักดิ์ศรีมาให้คนถ่มถุย อย่าลืมเป็นอันขาดว่าบรรดาศิษย์เก่าที่ถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันมีจำนวนไม่น้อย ดังนั้น คำชี้แจงที่แถลงไขกันมานอกจากคนจะไม่เชื่อแล้ว ยังพาลให้มองไปถึงอนาคตของคดีของทั้ง 8 คนด้วยว่าจะมีบทสรุปอย่างไร ซึ่งจะว่าไปแล้วสังคมเกิดความไม่ไว้วางใจกันมาก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำไป เพราะหากย้อนกลับไปดูตอนชุมนุมของม็อบมีเส้นชุดนี้ต่างก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หากจำกันได้ในครั้งนั้น มีบรรดาบุคคลที่สังคมไม่เชื่อว่าจะกล้าเสนอหน้าออกมาร่วมเป่านกหวีด เพราะโดยสถานะทางสังคมคือต้องเป็นบุคคลหรือคณะบุคคลที่ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ว่าจะในมิติใดก็ตาม แต่พวกอย่างหนาก็พากันอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพส่วนตัว ทั้งที่เวลาที่ใครจะพาดพิงหรือกล่าวถึงองค์กรหรือตัวบุคคลในนามผู้พิพากษานั้นถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามแตะต้องเป็นอันขาด กลายเป็นว่าม็อบชัตดาวน์นั้นได้ลากเอาสารพัดองค์กรมาแปดเปื้อนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ไม่ต้องพูดถึงองคาพยพอย่างกองทัพไม่ว่าจะส่วนใด ทั้งที่ไปช่วยคุ้มครองแกนนำม็อบและร่วมม็อบอย่างเอิกเกริก จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารบรรดาองค์กรทั้งหลายก็ถูกสถาปนามาเป็นมือเป็นไม้คอยปกป้องขบวนการสืบทอดอำนาจ ชนิดที่ทำเอาผู้รักความเป็นธรรมได้แต่ตะลึงงันกันเป็นแถว สิ่งที่เป็นคำถามตัวโตผุดขึ้นจนมาถึงทุกวันนี้ กระทั่งมาเกิดกรณี 8 แกนนำกปปส.เทียบเคียงกับบุคคลอื่นในคดีเดียวกัน ก็เป็นภาพตอกย้ำสิ่งเหล่านี้เข้าไปใหญ่

ในกรณีของคนที่ติดคุกแล้วกระเด็นตกเก้าอี้รัฐมนตรี ถือเป็นกรรมเก่าและถือเป็นการชดใช้กรรมจากรัฐธรรมนูญที่ตัวเองกางปีกปกป้องชนิดถวายชีวิต แต่สิ่งที่แสดงออกกันนั้นภาพที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ฉายผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้น น่าจะตรงใจกับคนในสังคมส่วนใหญ่ ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ แสร้งหลั่งน้ำตา เห็นอยู่ชัด ๆ รู้อยู่กับใจว่าตอนจบไปติดคุกแค่ 48 ชั่วโมง ตดยังไม่ทันหายเหม็น ก็เดินออกจากคุกทำตัวเป็นฮีโร่อีกครั้ง แสร้งบีบน้ำตาเล่าความเท็จสุดแสนดราม่าโอเปร่าว่า ทำเพื่อบ้านเมือง” (อีกแล้ว)

หากให้ชม คงปรบมือว่าแสดงได้เนียนเกินบรรยาย ทั้งน้ำเสียงหน้าตาท่าทางประกอบลีลาเสียแต่ว่า หลอกคนอื่นได้แต่คงหลอกตัวเองไม่ได้อะไรที่ทำเอาไว้ จนถึงบัดนี้หากใครดูไม่ออก ลีลานักการเมืองจะมองกันที่หน้าไม่ได้ แต่ต้องมองให้ลึกไปถึงกระดูกเนื้อใน สักวันประวัติศาสตร์คงได้จดจำว่าแต่ละคนทำอะไรเสียหายไว้กับบ้านเมืองนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรดีที่คอยคุ้มกะลาหัว แต่สุดท้ายก็หนีกฎแห่งกรรมไปไม่พ้น ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องในเชิงนามธรรมที่สัมผัสจากรูปธรรมของการเสแสร้งแสดงละครบีบน้ำตาของบางคนบางพวก ทว่าข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่จะได้ติดตามคดีความในอนาคตในชั้นต่อไปของแกนนำม็อบมีเส้นนั้น ข้อเขียนของ สมชาย ปรีชาศิลปกุล ที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง เป็นเรื่องที่ชวนให้ขบคิดและย้อนกลับไปเหมือนที่จั่วหัวไว้ว่า ช่วงเวลาของการชุมนุมของม็อบชัตดาวน์นั้นมีใครบ้างที่มาร่วมขบวนชนิดไม่ละอายใจในฐานานูรูปของตัวเองแม้แต่น้อย

โดยสมชายชี้ให้เห็นว่า คำตัดสินที่ออกมากรณีของแกนนำกปปส.อาจทำให้เกิดความเข้าใจว่าบัดนี้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ในการตัดสินคดีอย่างเป็นอิสระและตรงไปตรงมา พึงระลึกว่าคำตัดสินดังกล่าวเพิ่งจะเป็นศาลชั้นต้นเท่านั้น ยังมีชั้นอุทธรณ์และฎีกาต่อซึ่งต้องใช้อีกไม่น้อย และคำตัดสินในศาลชั้นต้นมิได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้ศาลชั้นต่อไปมีคำตัดสินในลักษณะเดียวกัน มีหลายคดีที่คำพิพากษาของศาลสูงกลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

นอกจากนี้ ในคำพิพากษานี้ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมดในข้อหากบฏอันเป็นข้อหาที่ร้ายแรงที่สุด ด้วยการอ้างอิงถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยตัดสินว่าการเคลื่อนไหวของกปปส. เป็นการชุมนุมโดยสันติ แต่ลงโทษในข้อหาอื่นที่มีโทษเบากว่า หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คือ เหมือนการฟ้องคนร้ายยิงผู้อื่นตาย โดยศาลยกฟ้องข้อหาฆ่าคนตายแต่ลงโทษข้อหาพกพาอาวุธในที่สาธารณะ ดังนั้น โทษที่กำหนดให้กับแกนนำทั้งหมดจึงมีระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี

กรณีการประกันตัว นับเป็นความเข้าใจผิดว่าบุคคลทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว จากคำพิพากษานั้นทางศาลอาญาได้ส่งคำร้องขอประกันตัวให้กับ “ศาลอุทธรณ์” เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะทำการพิจารณาภายในระยะเวลาที่ไม่นาน การประกันตัวนี้จะเป็นภาวะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างมาก แม้การประกันตัวจะสามารถกระทำได้ตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งก็ตรงกับที่สมชายยกตัวอย่างว่า จะมีการนำไปเทียบเคียงกับกรณีการไม่ได้ประกันตัวของ 4 แกนนำคณะราษฎร

เพราะทันทีที่ 8 แกนนำกปปส.ได้ประกันตัว ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนก็ได้ยื่นขอปล่อยตัวต่อศาลอุทธรณ์ โดยยกเหตุผลกรณีม็อบกปปส.มาเทียบเคียง แต่สุดท้ายศาลก็ไม่อนุญาตด้วยเหตุผล ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” ทั้งนี้ ในมุมวิชาการของสมชายมองว่าภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่จะเกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นผลมาจากความไม่อยู่กับร่องกับรอยของผู้ใช้อำนาจในการตัดสินเอง มิใช่อื่นใดเลย จะว่าไปแล้วก็คงไม่ใช่แค่กรณีนี้เพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะได้เห็นฤทธิ์เดชขององคาพยพที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องขบวนการสืบทอดอำนาจอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู โดยไม่สนใจเกียรติยศศักดิ์ศรีใด ๆ

Back to top button