ข่าวร้ายท่วมตลาดหุ้น!

งานนี้ขอบอกตามตรงว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะเรื่องร้าย ๆ ยังตามหลอกหลอนไม่เลิกสักที!


งานนี้ขอบอกตามตรงว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะเรื่องร้าย ๆ ยังตามหลอกหลอนไม่เลิกสักที! ส่งผลให้การเด้งสู้ในแต่ละรอบเป็นแค่การประวิงเวลาไม่ให้ลงลึกเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้ตัวอีฉันเป็นอย่างมาก หลังโมเมนตัมของตลาดหุ้นไทยอยู่ในทิศทางแกว่งตัวลงอย่างชัดเจน จึงมองไม่เห็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ดัชนีกลับทิศอย่างบูรณาการนะจะบอกให้

โดยเฉพาะเรื่องร้อนในฟากฝั่งอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับ “แบงก์ล้ม” และ “ดอกเบี้ยขาขึ้น” มันเป็นเรื่องที่สะท้อนถึงความปัญหาเรื้อรังของฝั่งอเมริกาได้เป็นอย่างดี และเรื่องนี้คงทำให้เศรษฐกิจฝั่งโน้นเกิดอาการชะงักตัว แถมเมื่อดูจากความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อที่ยังแก้ไม่ตก มันทำให้สถานการณ์รอบด้านออกไปในทางงูกินหาง และจะทำให้ตลาดหุ้นเกิดอาการ “ฮาร์ดแลนด์ดิ้ง” เป็นช่วง ๆ พะย่ะค่ะ

ด้วยเหตุนี้ “โมนิก้า” จึงต้องถามแฟนคลับว่า ในระยะเวลาสองเดือนครึ่งดอกเบี้ยให้ผลตอบแทนเกินระดับ 5% เทียบกับตลาดหุ้นไทยผลตอบแทนติดลบ 5% มันเป็นแรงบีบคั้นที่ทำให้นักลงทุนสถาบันต้องโยกเงินออกจากตลาดหุ้นใช่ไหม? ถ้าคำตอบคือ “ใช่” ก็หมายความว่า การยืนปิดที่ระดับ 1,573.07 จุด ลบ 26.58 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.96 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ก้นเหวของการลงเที่ยวนี้กระมัง!

เมื่อนักลงทุนสถาบันไม่อินกับการลงทุนในตลาดหุ้น หุ้นบลูชิพเลยตกอยู่ในสถานการณ์หลังชนฝา และถูกรุมกระหน่ำขายแบบไม่มีเยื่อใย โดยเฉพาะในรายของแบงก์สีเขียว KBANK ก็ถูกขายแบบไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา จนสุดท้ายหุ้นลงมากองอยู่ที่ 128 บาท ลบไป 8 บาท หรือลงไป 5.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.46 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 5 เดือนแบบนี้..บอกได้คำเดียวว่า ราคาไหนก็ไม่น่ารับจ้า!

เช่นเดียวกับในรายของ BTS ก็มีเรื่องต่อสัญญา “สายสีเขียวทุจริต” กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ทุกอย่างพังพาบไม่เป็นท่า และเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้นักเล่นสาดหุ้นออกมาอย่างล้นหลาม จนราคาหุ้นลงมาทำโลว์ที่ระดับ 5.40 บาท ก่อนจะเด้งกลับขึ้นไปปิดที่ระดับ 6.90 บาท ลบไป 0.65 บาท หรือลงไป 8.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.68 พันล้านบาท กลายเป็นภาพสะท้อนความกังวลใจที่มีต่ออนาคตบริษัท ซึ่งจะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวลงไปอีกเจ้าค่ะ

ส่วนรายของลูกอ๊อด AOT ไม่มีปัญหาในเรื่องความสามารถในการทำกำไร แถมการฟื้นตัวของธุรกิจก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อบรรยากาศการลงทุนที่ไม่เป็นใจ จึงกลายเป็นหุ้นบลูชิพที่โดนขายมากสุดตัวหนึ่งในเวลานี้ และเมื่อดูจากการยืนปิดที่ระดับ 67.75 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.76 พันล้านบาท ทั้งที่ช่วงต้นปียืนอยู่ที่ระดับ 76 บาทแบบนี้..ฝืนสังขารไม่ไหวแน่ ๆ และควรรีบหาทาง “เจ็บแต่จบ” ก่อนไหมจ๊ะ

เม้าท์ถึงเรื่อง “จบแบบเจ็บ ๆ” ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่พ่อดอกมะลิ JAS หลังราคารูดลงมาปิดที่ 1.90 บาท ลบไป 0.18 บาท หรือลงไป 8.65 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 263 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 11 ปี 3 เดือน มันเป็นภาพสะท้อนความกังวลที่มีต่ออนาคตได้เป็นอย่างดี เดี๊ยนจึงไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความไปกว่าเดิมกันอีกแล้ว เพราะต้องให้ผู้บริหารหา “นิว เอส-เคิร์ฟ” ให้เจอไงล่ะ..อิอิอิ

ขนาดหุ้นประกันชีวิตตัวท็อปของตลาดหุ้นไทยอย่าง BLA ซึ่งสามารถทำผลงานดีมาโดยตลอด ยังถูกกระหน่ำขายเหมือนบริษัทขาดทุนยับเยินแบบนี้ “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องของอาการ “แพนิก” กับเรื่องของการ “ปรับพอร์ต” มากกว่าประเด็นอื่น ๆ ราคาหุ้นถึงดำดิ่งลงมายืนปิดที่ระดับ 29.50 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 6.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 352 ล้านบาท และมีความเป็นไปได้ที่จะลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าวิกฤติการเงินที่อเมริกาจะคลี่คลายนะจะบอกให้

ตบท้ายกันที่หุ้น GUNKUL กันดีกว่า! เพราะในมุมของการผ่านเรื่องร้ายมามากมาย และกำลังจะตั้งลำได้อย่างเป็นทางการ แต่สุดท้ายก็ต้องจำนนต่อบรรยากาศการลงทุนที่ไม่เอื้อ ราคาหุ้นจึงทรุดฮวบลงมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายยืนปิดที่ระดับ 3.78 บาท ลบไป 0.22 บาท หรือลงไป 5.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 797 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 9 เดือน ท่ามกลาง PE 11.80 เท่าแบบนี้..มันเป็นราคาที่ถูกมากก็จริง แต่อาจมีราคาที่ถูกกว่าให้ซื้ออีกก็ได้นะคะ

Back to top button