Apple พอกันทีรถ EV อัจฉริยะ.!?

สัญญาณจาก Mercedes-Benz ที่ประมาณการยอดขายรถ EV ว่าอาจไม่เติบโตดั่งที่คาดการณ์ไว้ และกรณี Ford ประกาศเลิกจ้างพนักงาน


สัญญาณจาก Mercedes-Benz ที่ประมาณการยอดขายรถ EV ว่าอาจไม่เติบโตดั่งที่คาดการณ์ไว้ และกรณี Ford ประกาศเลิกจ้างพนักงาน และชะลอการลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่..นั่นกำลังบ่งบอกถึงตลาดรถ EV ไม่ง่ายเลยสำหรับค่ายยักษ์ใหญ่ระดับโลก

โดย UBS AG ประเมินการเติบโตของยอดขายรถ EV ภายในประเทศสหรัฐฯ ว่า จะลดลงเหลือเพียง 11% ช่วงปีนี้ จากเคยเติบโตกว่า 47% ช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา

ด้วยเหตุนี้เองกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Apple ตัดสินใจประกาศยุติการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทลงแล้วเช่นกัน และพนักงานโครงการดังกล่าวที่มีประมาณ 2,000 คน อาจถูกย้ายไปทำงานส่วนอื่นอย่าง การพัฒนา AI แทน..

การประกาศยุติโครงการพัฒนารถยนต์ของ Apple มีรายงานว่า เกิดขึ้นเป็นการภายใน เมื่อกลางสัปดาห์ผ่านมา หลังจากบริษัทและซีอีโอ Tim Cook ไม่เคยยอมรับว่า มีโครงการพัฒนาดังกล่าวต่อสาธารณะแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่ามีการพัฒนา Autonomous Systems อยู่จริง..!!

จุดที่น่าสังเกต คือ มีการเปิดให้พนักงานโครงการนี้สามารถยื่นใบสมัครไปยังแผนกอื่น ๆ ของ Apple ได้ แต่หากไม่มีแผนกใดรับเข้าทำงาน..ทำให้คาดว่าพนักงานส่วนที่เหลือจะ “ถูกเลิกจ้าง” (เลย์ออฟ) ต่อไป.!?

สาเหตุที่ทำให้ Apple ตัดสินใจเลิกพัฒนารถ EV เริ่มต้นมาจากประเทศจีน หลังเศรษฐกิจสัญญาณชะลอตัวชัดเจน นำโดยภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาหนัก ทำให้ชาวจีนต้องลดการใช้จ่ายนั่นจึงกระทบต่อยอดขายรถ EV ในประเทศจีน

ตามด้วยเรื่องราคารถ EV สูงกว่ารถใช้น้ำมัน.! นี่ยังไม่รวมค่าเบี้ยประกันและราคามือสองที่ต้องปรับลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยพบว่าราคารถ EV ในสหรัฐฯ มีราคาแพงกว่ารถใช้น้ำมันประมาณ 27% ส่วนยุโรปสูงกว่า 30% นั่นทำให้ในเชิงการตลาดถือเป็น “โจทย์หิน” เลยทีเดียว..!!!

ขณะที่มาตรการอุดหนุนและยกเว้นภาษี มีข้อกำหนดเข้มข้นขึ้น อาทิ อุดหนุนเฉพาะรถ EV ที่ประกอบในประเทศตัวเอง สุดท้ายแล้วอาจทำให้ต้นทุนสูง จนไม่มีผู้ผลิตสนใจลงทุนตั้งโรงงาน นั่นเองกระทบถึงผู้ใช้ที่มีทางเลือกซื้อรถ EV น้อยลงได้

อีกเรื่องคือ “ดอกเบี้ย” ขึ้นเร็วและเรื่องจุดชาร์จไฟฟ้าและความจุแบตเตอรี่ บางส่วนรู้ว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ยังอยู่ช่วงเริ่มต้น จึงรอให้เทคโนโลยีพัฒนาถึงจุดที่ดีมากเพียงพอ…

สำหรับโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ Apple หรือที่เรียกกันว่า Special Project Group เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 และมีการจ้างงานกว่า 1,000 ตำแหน่ง

แต่ช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเผยแพร่ออกสู่สาธารณะไม่มากนัก เช่น มีระบุเพียงว่า รถยนต์ไฟฟ้าของ Apple จะมาพร้อมเซนเซอร์ และระบบขับขี่ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร และเป็นข่าวปรับโครงสร้างองค์กรและการเปลี่ยนตัวผู้บริหารเป็นหลัก

หากมีการชะลอโครงการดังกล่าว Apple ยังมีเทคโนโลยีเกี่ยวกับรถยนต์อีกหนึ่งชิ้น นั่นคือ CarPlay ซอฟต์แวร์ด้านความบันเทิงสำหรับติดตั้งในรถยนต์ ที่บริษัทระบุว่า มีการติดตั้งไปแล้วกว่า 80% ของรถยนต์ในปัจจุบัน

เมื่อดูบริษัทคู่แข่งวงการสมาร์ตโฟน พบว่า บริษัทชื่อดังหลายรายเริ่มลงสนามตลาดรถยนต์ EV อย่างเต็มตัว อาทิกรณี Xiaomi และ Foxconn ที่ประกาศว่าจะผลิตรถยนต์ EV ของตนเอง

ดูเหมือนว่าการเติบโตของยอดขายรถ EV ที่ลดลง ผนวกกับการขาดแคลนโครงสร้างและสถานีชาร์จ กลายเป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้ “ผู้ซื้อ” อาจไม่พร้อมรับความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนไปใช้รถ EV อย่างเต็มรูปแบบ

เรื่องนี้ดูเหมือนย้อนแย้งและสวนทางกับตลาดรถ EV ในประเทศไทยอย่างมีนัยเลยทีเดียว..!!??

Back to top button