KBANK กับงบไตรมาสแรก

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ประกาศกับตลาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 13,791 ล้านบาท


ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ประกาศกับตลาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 13,791 ล้านบาท เพิ่มจากระยะเดียวกันของปีก่อน 1.08% ในขณะที่ตั้งสำรองหนี้สูญไว้เพิ่มขึ้นเป็น 9,818 ล้านบาท

ด้วยกำไรสุทธิจากดอกเบี้ยจำนวน 35,425 ล้านบาท ลดลง 7.23% เป็นผลมาจากแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ย และการจัดการอย่างระมัดระวังในการควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าทำให้อัตราเติบโตของค่าส่วนต่างของกำไรสุทธิดอกเบี้ย NET INTEREST MARGIN (NIM) เหลือแค่ 3.41% แต่มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นจากธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์และรายได้จากค่าธรรมเนียมมากถึง 15.39%

กำไรสุทธิที่เติบโตลดลง เนื่องจากสาเหตุหลัก 2 ข้อคือ 1) ผลของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา 2) การเติบโตที่ช้าลงของลูกค้าตามภาวะเศรษฐกิจของไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ขณะที่ KBANK ยังคงรักษาผลประกอบการได้อย่างโดดเด่น ทำให้กำไรสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ถือว่าการทำงานของ KBANK มีประสิทธิภาพสูง

ส่วนหนึ่งมาจากกำไรจากการขายประกันชีวิตหรือแบงก์แอสชัวรันส์ที่ยังคงเป็นตัวทำกำไรให้กับธนาคารและบริษัทลูกอย่างดีเยี่ยมเพราะมีต้นทุนต่ำ และกำไรอีกส่วนหนึ่งมาจากบริการเป็นส่วนที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยแต่เป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมเช่นบัตรเครดิต จึงทำให้ KBANK ยังคงตรึงอันดับหนึ่งของธนาคารพาณิชย์ต่อไปได้อีกหนึ่งไตรมาสและยังส่งผลให้ค่าบุ๊กแวลูของบริษัทยังคงเดินหน้าขึ้นไปอีก

ที่สำคัญราคาหุ้นบนกระดานที่ยังต่ำกว่า 150 บาท ยังคงน่าเก็บไว้ทำกำไรในระยะต่อไปได้อีก

การที่จะมีข่าวดีล่วงหน้าจาก ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการที่จะปรับเงื่อนไขของบริษัทจดทะเบียนในการที่จะซื้อหุ้นคืนจากตลาด ส่งผลให้ราคาหุ้นแบงก์ที่ราคาต่ำกว่าบุ๊กแวลูในยามนี้พยายามขยับตัว เพราะนักวิเคราะห์มองว่า กลุ่ม/ธนาคารพาณิชย์จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้อย่างมาก

การบอกเลิกเงื่อนไขซื้อคืนหุ้นของบจ. ถือเป็นข่าวดีอย่างมาก เพราะเป็นการส่งสัญญาณว่ามาตรการเดิมเช่น การซื้อคืนได้ไม่เกิน 10%  แล้วตามมาด้วยมาตรการอื่น ๆ เช่น ซื้อคืนแบบครั้งเดียวจบและมาตรการให้ขายคืนตลาดภายใน 6 เดือน ล้วนถือเป็นมาตรการคร่ำครึไม่เหมาะสมกับตลาดขณะนี้อย่างยิ่ง

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button