
ตลาดหุ้นไทยหนุนธุรกิจครอบครัว (1)
ตลท. มีนโยบายส่งเสริมให้ “ธุรกิจครอบครัว” มีความยั่งยืน โดยมองว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์ด้านการระดมทุน
เส้นทางนักลงทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีนโยบายส่งเสริมให้ “ธุรกิจครอบครัว” มีความยั่งยืน โดยมองว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์ด้านการระดมทุน, เพิ่มความน่าเชื่อถือ, สร้างระบบบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ และลดข้อขัดแย้งภายในครอบครัว ผ่านการมีโครงสร้างที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อเป้าหมายหลักคือ ความอยู่รอดและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในระยะยาว
นับตั้งแต่จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ มา 50 ปี มี “ธุรกิจครอบครัว” ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนเพื่อการเติบโตของกิจการจำนวนไม่น้อย หลายบริษัทสามารถส่งต่อและดำเนินธุรกิจได้อย่างยืนยาว สะท้อนได้จากผลการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เปิดเผยข้อมูลผ่าน SET Note ซึ่งจัดทำโดย “สุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์” ฝ่ายวิจัย เกี่ยวกับ “ธุรกิจครอบครัว” (Family Business) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือรวมเรียกว่า ตลาดหุ้นไทย
ในวันนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” จะนำเสนอผลการศึกษาดังกล่าวในตอนที่ 1 ซึ่งว่าด้วยเรื่องพัฒนาการของ “ธุรกิจครอบครัว” ภายหลังการเข้าจดทะเบียนทั้งใน SET และ mai ก่อน
จากผลการศึกษาข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่ละบริษัทที่มีการปิดสมุดทะเบียนล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 จำนวน 850 บริษัท พบว่า 646 บริษัท หรือ 76% ของ บจ.ทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยจัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” โดย บจ.กลุ่มนี้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมสูงถึง 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (total market capitalization)
จากที่พิจารณาโครงสร้างการถือครองหุ้นของ บจ.ที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว เช่น คนตระกูลเดียวกันถือหุ้นรวมกันมากกว่า 20%, คนในตระกูลมีอำนาจบริหารจัดการ พบว่า สมาชิกครอบครัวถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านนิติบุคคลต่าง ๆ อาทิ ห้างหุ้นส่วน, บริษัทจำกัด, บริษัทมหาชน และกองทุน เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จดทะเบียนใน SET และเป็นองค์ประกอบสำคัญของดัชนีต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
และหากพิจารณาตามรายชื่อหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีต่าง ๆ พบว่า บจ.ที่จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” อยู่ในทุกดัชนี และจำนวนบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนสูงกว่า 60% ของทุกดัชนี
บจ.ที่จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” ส่วนใหญ่พัฒนามาจากธุรกิจดั้งเดิมของตระกูล หรือเป็นธุรกิจจัดตั้งใหม่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ และกระจายตัวอยู่ในทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, พลังงานและสาธารณูปโภค, พาณิชย์, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, การแพทย์, บริการรับเหมาก่อสร้าง และในmai (กลุ่มบริการ, สินค้าอุตสาหกรรม, อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง)
เมื่อพิจารณาสัดส่วนธุรกิจครอบครัวในแต่ละหมวดธุรกิจ พบว่า 12 หมวดธุรกิจมีสัดส่วนธุรกิจครอบครัวมากกว่า 80% ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, พาณิชย์, การแพทย์, สื่อและสิ่งพิมพ์, วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร, วัสดุก่อสร้าง, ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์, บรรจุภัณฑ์, แฟชั่น, ธุรกิจการเกษตร, กระดาษและวัสดุสิ่งพิมพ์
เมื่อพิจารณาความยั่งยืนของกิจการ จากอายุกิจการนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน 5 (ปี 2568) ของ บจ.ธุรกิจครอบครัว พบว่า มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36 ปี โดย บจ.มีอายุกิจการยาวนานที่สุด นานถึง 149 ปี หรือ 3 เท่าของอายุ ตลท.
เมื่อพิจารณากิจการ ณ ปีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย พบว่า ธุรกิจครอบครัว ณ ปีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีอายุเฉลี่ย 19 ปี แสดงว่าธุรกิจครอบครัวดำเนินการต่อเนื่องด้วยเงินทุนส่วนตัว และสินเชื่อก่อนเข้าตลาดทุนเพื่อขยายกิจการ บางบริษัทมีอายุมากเมื่อจดทะเบียน เนื่องจากประกอบธุรกิจก่อนการก่อตั้ง ตลท.ในปี 2518 หรือเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา และใช้เวลาปรับตัวให้เป็นไปตามเกณฑ์การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพยฯ โดยบริษัทที่มีอายุมากที่สุดมีอายุ 118 ปี ณ ปีที่จดทะเบียนฯ
ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มี บจ.ปรับโครงสร้างองค์กร ควบรวมกิจการ หรือแลกหุ้นเป็นบริษัทใหม่และมีการเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น ส่งผลให้วันก่อตั้งและจดทะเบียนเป็นไปตามบริษัทใหม่ ทำให้อายุน้อยกว่าระยะเวลาดำเนินงานจริง
ณ สิ้นปี 2567 บจ.ที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว 642 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 8.51 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในช่วงปี 2561-2567 ของ บจ.ที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีอัตราเติบโตเฉลี่ย (Compound AnnualGrowth Rate) ปีละ 2.55%
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บจ.ที่เป็นธุรกิจครอบครัว 646 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 6.1 ล้านล้านบาท ลดลง 28.3% จากสิ้นปี 2567 จากการลดลงของราคาหลักทรัพย์เป็นสำคัญ สังเกตได้จาก SET Index ที่ลดลง 22.2% และเมื่อเปรียบเทียบขนาดกับตลาดรวม ธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนเฉลี่ย 48.2%
สำหรับในตอนที่ 2 จะมาว่ากันด้วยเรื่องการใช้ตลาดทุนเพื่อการขยายธุรกิจของ บจ.ที่เป็น “ธุรกิจครอบครัว” ว่ามีส่วนในการช่วยสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน อย่างไรบ้าง