PDIปักธงลุยพลังงานทดแทนปีนี้100MW หลังCODโซลาร์ฯญี่ปุ่น2แห่ง เล็งสยายปีกแตกไลน์ธุรกิจใหม่

PDI ปักธงลุยพลังงานทดแทนปีนี้เพิ่ม 100MW หลัง COD โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น 2 แห่ง ดันกำลังผลิตรวมแตะ 50MW พร้อมแตกไลน์ธุรกิจใหม่เน้นสร้างรายได้ต่อเนื่อง


 นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผูจ้ดัการ บริษัท ผาแดงอินดัส ทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนว่า ขณะนี้โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มแห่งที่สองที่ประเทศญี่ปุ่น “โนกาตะ” ขนาด 11 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้พีดีไอมีกำลังการผลิตรวมของโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่นรวม 50 เมกะวัตต์ และในปี 2561 พีดีไอ เอ็นเนอร์ยี จะยังคงมุ่งเน้นดำ เนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายลงทุนพลังงานทดแทนให้ได้อีก 100 เมกะวัตต์ภายในปีนี้

ทั้งนี้บริษัทยังคงหาโอกาสการเข้าลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรเพื่อสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ยุติธุรกิจสังกะสีในกระบวนการผลิตสังกะสีแบบเดิมเป็นที่เรียบร้อย และปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจโลหะสังกะสีสู่การเทรดดิ้งแบบเต็มตัวในปี2561 ซึ่งผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีและมั่นใจว่าการจำหน่ายโลหะสังกะสีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่จำนวน 50,000 ตันในปีนี้พร้อมทั้งขยายโอกาสค้าโลหะอื่นๆ ต่อไปด้วย โดยลูกค้ายังคงให้ความเชื่อมั่นต่อคุณภาพสินค้าและการบริการของพีดีไอโดยเฉพาะบริการสนับสนุนด้านเทคนิค ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านนี้มาอย่างยาวนาน

“พีดีไอได้ปรับการดา เนินธุรกิจเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านพลงังานทดแทนวัสดุรีไซเคิล และบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โดยมีพัฒนาการอย่างโดดเด่นชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจสังกะสีเข้าสู่ธุรกิจสีเขียวที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยได้ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนมาตั้งแต่ปี 2559 และสามารถสร้างสัดส่วนรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทจะมุ่งบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่และไม่ได้ใช้งานแล้วในธุรกิจสังกะสีให้เกิดมูลค่าสูงสุดคืนกลับมาให้กับบริษัท ทั้งโรงงานระยองและโรงงานตากที่ได้ให้หยุดการผลิตการถาวรในปีที่ผ่านมา” นายฟรานซิส กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทบรรลุผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมจากผลประกอบการที่เติบโตทำกำไรสูงสุดในรอบ 10 ปี และยังเป็นอันดับสามในรอบ 33 ปีของบริษัทฯ โดยมีผลกำไรสุทธิจำนวน 905 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 89 จากช่วงเดียวกันของปี 2559 โดยได้รับอานิสงส์จากราคาสังกะสีโลกในปีที่ผ่านมาเฉลี่ยทั้งปีปรับตัวสูงร้อยละ 40 และจากผลประกอบการที่ดีและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งมีกระแสเงินสดที่พร้อมลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท

Back to top button