MINT ผ่านจุดต่ำสุด! ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังฟื้นรับคลาย “ล็อกดาวน์”

MINT ผ่านจุดต่ำสุด! ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังฟื้นรับคลาย "ล็อกดาวน์"


นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังนี้จะฟื้นตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก หลังจากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการแล้ว ขณะที่คาดว่าในปี 64 ผลประกอบการจะกลับมาเติบโตได้ หากมีการเปิดประเทศ โดยเฉพาะการเปิดน่านฟ้า และคลายล็อกดาวน์ทั้งหมด ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีรายได้มากขึ้นว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 30,224.46 ล้านบาท และจะขาดทุนน้อยลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่มีผลขาดทุน 10,221.16 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจโรงแรมในเครือ MINT ทั่วโลกกลับมาเปิดให้บริการแล้วราว 79% และธุรกิจอาหารราว 95% กลับมาเปิดให้บริการแล้ว ส่วนที่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว ส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์เปิดให้บริการแล้วเกือบ 100%

โดยในช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะมุ่งเน้นไปในกลุ่มนักท่องเที่ยวภายในประเทศของแต่ละประเทศ โดยมองว่าหากมีการคลายล็อกดาวน์จะทำให้ความต้องการในประเทศ (domestic demand) กลับมาก่อน รวมถึงคาดว่าการผลักดันเรื่อง Travel Bubble หรือการจับคู่ด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศที่มีความมั่นใจในความปลอดภัยของโรคโควิด-19 จะเห็นความชัดเจนในครึ่งหลังของปีนี้

ส่วนธุรกิจอาหาร หลังกลับมาเปิดให้บริการเกือบทั้งหมดก็เริ่มเห็นการเติบโตของร้านอาหารที่นั่งทานในร้านมากขึ้น แต่รายได้จากบริการดิลิเวอรี่คงจะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/63 เป็นต้นไป ขณะที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ยังมีการเติบโต โดยเฉพาะการขายบผ่านช่องบทางออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทนำน้ำยาฆ่าเชื้อมาขาย ทำให้สามารถพยุงยอดขายไปได้

นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า บริษัทยังดำเนินการลดต้นทุนทุกภาคส่วน และต่อรองกับผู้ให้เช่าพื้นที่เพื่อลดค่าเช่าหรือยืดระยะเวลาออกไป ส่งผลทำให้สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายลงไปได้ประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดงบลงทุนลงกว่า 30% หรือประมาณ 7,000-10,000 ล้านบาท โดยจะลงทุนในโครงการที่มีความจำเป็นเท่านั้น และไม่มีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ

สำหรับการลดต้นทุนดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถลด Breakeven Point หรือลดจุดคุ้มทุนลงมาให้ได้เห็นเร็วขึ้น โดยธุรกิจโรงแรม จากเดิมจะเห็นอัตราการเข้าพัก (OCC) ถึงจุดคุ้มทุนที่ระดับ 50-60% ก็จะลดลงมาที่ระดับ 30-40%, ธุรกิจอาหาร จากเดิมจะต้องทำยอดขายให้ได้ 80% ถึงจะถึงจุดคุ้มทุน แต่พอมีการลดต้นทุนลงมาก็ทำให้จุดคุ้มทุนลดลงมาที่ 69%

ทั้งนี้ สภาพคล่องของบริษัท ปัจจุบันมีเงินสดในมืออยู่ราว 36,000 ล้านบาท และวงเงินรอเบิกใช้จากสถาบันการเงิน (Working Cap Facilities) อีกประมาณ 26,000 ล้านบาท ภาพรวมสภาพคล่องทางการเงินอยู่ในระดับสูงถึง 60,000 ล้านบาท เพียงพอต่อการใช้คืนหนี้ โดยในครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะคืนหนี้ระยะยาวที่มีอยู่ 3,500 ล้านบาท และครึ่งปีแรกของปี 64 จะมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอีก 4,000 ล้านบาท

“ธุรกิจตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้น จากที่เราได้มีการเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรม และร้านอาหารแล้ว จากครึ่งปีแรกที่มีการปิดล็อกดาวน์ไปในเดือนเม.ย.-พ.ค.63 ทำให้เชื่อว่าเป็นจุดที่แย่ที่สุดและต่ำที่สุดแล้ว และน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปหมดแล้ว ฉะนั้นครึ่งปีหลังก็น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก” นายชัยพัฒน์ กล่าว

Back to top button