EXIM BANK เปิดตัวสินเชื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

EXIM BANK เปิดตัวสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน


นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้พัฒนาบริการใหม่เพื่อเต็มเติมความต้องการของผู้ส่งออกขนาดกลางที่มียอดขายตั้งแต่ 50-500 ล้านบาท ทั้งในด้านเงินทุนเพื่อสนับสนุนการขยายกิจการส่งออก-นำเข้าและยกระดับกระบวนการผลิต และด้านเครื่องมือทางการเงินเพื่อบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ

โดยประกอบด้วย 1. สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อธุรกิจขนาดกลาง (EXIM for M Credit) เป็นสินเชื่อหมุนเวียนก่อนและหลังการส่งออก วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยปีแรก ขั้นต่ำอยู่ที่ Prime Rate -2.00% ต่อปี (หรือ 4.25% ต่อปี) ปีที่ 2 ขั้นต่ำ Prime Rate -1.50% ต่อปี (หรือ 4.75% ต่อปี) ปีที่ 3 เป็นต้นไป เป็นไปตามมาตรฐานธนาคาร พร้อมวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) สูงสุด 3 เท่าของวงเงินสินเชื่อ ใช้หลักประกันขั้นต่ำ 35% และบุคคลค้ำประกัน

  1. สินเชื่อรับซื้อตั๋วเพื่อธุรกิจขนาดกลาง (EXIM Nego for M Credit) เป็นสินเชื่อหมุนเวียนหลังการส่งออก เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการขนาดกลาง วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยปีแรก ขั้นต่ำอยู่ที่ Prime Rate -2.00% ต่อปี (หรือ 4.25% ต่อปี) ปีที่ 2 ขั้นต่ำ Prime Rate -1.50% ต่อปี (หรือ 4.75% ต่อปี) ปีที่ 3 เป็นต้นไป เป็นไปตามมาตรฐานธนาคาร

พร้อมวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) สูงสุด 3 เท่าของวงเงินสินเชื่อ ใช้หนังสือค้ำประกันของ บสย. และบุคคลค้ำประกัน หรือหลักประกันขั้นต่ำ 30% และบุคคลค้ำประกัน

ทั้งสองบริการนี้มีระยะเวลาอนุมัติตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 มีเป้าหมายอนุมัติวงเงินรวม 3,000 ล้านบาท” นายพิศิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้เนื่องจาก SMEs เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งภาคการส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง (กลุ่ม M) ของไทยที่ยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีจำนวนไม่ถึง 1% ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ ขณะที่ผู้ส่งออกขนาดกลางคิดเป็น 10% ของผู้ส่งออกทั้งประเทศที่มีอยู่ราว 28,000 ราย

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการกลุ่ม M นี้สามารถสร้างประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจได้ในสัดส่วนสูง กล่าวคือ สนับสนุนให้เกิดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้ถึง 12.5% ของ GDP รวม (1.79 ล้านล้านบาท) ก่อให้เกิดการจ้างงาน 7.4% ของการจ้างงานรวม (1.09 ล้านราย) และมีสัดส่วน 9.4% ของมูลค่าส่งออกรวม (7.1 แสนล้านบาท)

“EXIM BANK มุ่งเน้นการสร้างกลุ่มผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตั้งแต่การสร้างกลุ่มผู้เริ่มต้นส่งออกให้มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด การสร้างกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กให้มีศักยภาพสูง เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และการสร้างกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางที่เข้มแข็งและพร้อมจะขยายกิจการ ไปจนถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่สามารถนำผู้ประกอบการไทยเข้าสู่เวทีการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จในระยะยาว ท่ามกลางปัจจัยท้าทายและโอกาสมากมายในโลกธุรกิจยุคใหม่” นายพิศิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ได้หารือกับผู้ประกอบการไทยเพื่อติดตามผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าโลก โดยยอมรับว่าปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังให้เติบโตเหลือ 7% จากครึ่งปีแรกขยายตัวได้เกิน 10% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกประเทศคู่ค้ามีการสั่งสินค้าจากไทยเข้าไปสต็อกล่วงหน้าจำนวนมาก เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว

เราได้หารือกับผู้ประกอบการ และจับตาสถานการณ์สงครามการค้าโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้แนะแนวทางให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัว เพราะประเมินว่าหากในระยะต่อไปสหรัฐฯ มีการตั้งกำแพงภาษีกับกลุ่มประเทศที่เกินดุลสูงขึ้นอีก ตรงนี้มองว่าไทยก็อาจจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ประกอบการหันไปลงทุนผลิตสินค้าในประเทศที่ไม่ถูกตั้งกำแพงภาษี หรือถูกกีดกันทางการค้าในระดับต่ำแทน” นายพิศิษฐ์ กล่าว

 

Back to top button