STECH เคาะราคาไอพีโอ 2.78 บ. เปิดจอง 13-16 ก.ค. ลุยเทรด “SET” 23 ก.ค.นี้

STECH แต่งตั้ง “บล.เคทีบีเอสที-บล.อาร์เอชบี” ลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะราคาไอพีโอ 2.78 บาท เปิดจอง 13-16 ก.ค.นี้ ปักธงเทรด “SET” 23 ก.ค.64 ลุยขยายธุรกิจเสาคอนกรีตอัดแรง


บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH  โดยได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และผู้ช่วยผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัท หลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

ด้านนายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า STECH ได้กำหนดราคาเสนอขายเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 203,500,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2.78 บาท กำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอ วันที่ 13 – 16 กรกฎาคม 2564 และกำหนดวันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายคือ STECH” เข้าเทรดในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง

โดยการกำหนดราคาไอพีโอที่ 2.78 บาทต่อหุ้น คิดเป็น P/E ที่ประมาณ 14.14 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ทั้งนี้ในปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นจากภาพรวมอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่ถูกคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้จากงานโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศของภาครัฐที่เป็นเมกะโปรเจกต์ที่จะทยอยออกมาค่อนข้างมาก ทำให้ในปัจจุบันค่าเฉลี่ย P/E ของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนปัจจัยบวกด้านอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง

ส่วนนายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์ กล่าวเสริมว่า การกำหนดราคาไอพีโอในครั้งนี้ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ STECH ด้วยผลประกอบการที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคตสอดรับกับภาพรวมการลงทุนในงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นแผนระยะยาวและมีความชัดเจนทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น

รวมทั้งการเป็นเบอร์หนึ่งในแง่ของโรงงานที่มีครอบคลุมหลายภูมิภาค ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ จะทำให้บริษัทฯมีโอกาสได้รับงานเมกะโปรเจกต์ต่างๆที่จะทยอยประกาศออกมาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและงานสาธารณูปโภคของประเทศ ด้วยต้นทุนที่อยู่ในระดับต่ำ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และน่าสนใจในการลงทุน

นอกจากนี้การจัดงานโรดโชว์ผ่านช่องทางออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริหารและมั่นใจว่า STECH จะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีในระยะยาว

ด้านนางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า STECH เป็นหุ้นคอนกรีตอัดแรงที่อยู่ในใจของลูกค้ามาอย่างยาวนาน ด้วยจุดเด่นผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและอยู่ในวงการมากว่า 35 ปี พร้อมทั้งมีกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางด้านคอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของประเทศ โดยปัจจุบันมีโรงงานคอนกรีตอัดแรงมากถึง 9 แห่ง และจะขยายเป็น 10 แห่งในสิ้นปีนี้ และ 11 แห่งในปี 2567 สะท้อนการเป็นหุ้นเติบโตแบบ Growth Stock ประกอบกับนโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%

ขณะที่ผลประกอบการมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปี (ปี 2561 -2563) อยู่ที่ 85.74 ล้านบาท 93.23 ล้านบาท และ 140.60 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 4.75 ร้อยละ 5.44 และร้อยละ 9.07 ตามลำดับ ขณะที่ รายได้รวมอยู่ที่ 1,804.54 ล้านบาท 1,712.83 ล้านบาท และ 1,550.33 ล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน และมุ่งเน้นการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดีแม้ภายใต้สถานการณ์โควิดแต่บริษัทฯสามารถบริหารจัดการได้อย่างดีเยี่ยมโดยมีกำไรสุทธิในงวด 3 เดือนแรกของปี 2563 – 2564 จำนวน 30.98 ล้านบาท และ 32.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 7.51 และร้อยละ 8.23 ตามลำดับ มีรายได้รวมอยู่ที่ 412.42 ล้านบาท และ 399.90 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) เติบโตแข็งแกร่ง

สำหรับนายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STECH เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จำนวนประมาณ 550 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) จะนำไปใช้ขยายธุรกิจเสาคอนกรีตอัดแรง ประมาณ 298 ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี สาขา 2 ประมาณ 58 ล้านบาท ภายในปี 2564 โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานดอนพุด 45 ล้านบาท ภายในปี 2565 โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดมุกดาหาร ประมาณ 80 ล้านบาท ภายในปี 2566 โครงการซื้อรถขนส่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต 50 ล้านบาท ภายในปี 2564 และโครงการซื้อเครื่องกดกันสั่นสะเทือน 65 ล้านบาท ภายในปี 2564

Back to top button