ลุ้น TISCO ปี 64 กวาดกำไร 6.6 พันลบ. โบรกฯ แนะสะสม คาดรับปันสูง 7%

ลุ้น TISCO ไตรมาส 4 กำไร 1.6 พันลบ. หนุนทั้งปี 64 กวาดกำไร 6.6 พันลบ. รับรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่ม สำรองหนี้ลดลง โบรกฯ แนะสะสม คาดรับปันสูง 7% จับตาปี 65 กำไรโตต่อ ประเมินสำรองหนี้ลดลงต่อเนื่อง


ใกล้เข้าสู่ช่วงของการรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2564 และงวดปี 2564 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะรายงานงบทางการเงินในวันที่ 14 ม.ค.2565 โดยนักวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 4/2564 เติบโต 0.9-4% มาที่ 1.6-1.69 พันล้านบาท จากการลดลงของการตั้งสำรองและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล หนุนกำไรทั้งปี 2564 มีกำไรกว่า 6 พันล้านบาท ต่อเนื่องไปถึงปี 2565 รวมทั้งคาดการณ์ว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูง

โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TISCO ประเมินราคาเป้าหมาย 115 บาท โดยคาดว่า TISCO จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ในวันที่ 14 ม.ค.2565 คาดกำไรสุทธิที่ 1.69 พันล้านบาท เติบโต 4% เมื่อเทียบจากปีก่อน หนุนจากค่าใช้จ่ายสำรองลดลง  และคาดกำไรเติบโต 8% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

ทั้งนี้หากกำไรไตรมาส 4/2564 เป็นไปตามคาด จะทำให้กำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 6.72 พันล้านบาท เติบโต 11% เมื่อเทียบจากปีก่อน และยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 6.85 พันล้านบาท  เติบโต 2% เมื่อเทียบจากปีก่อน การเติบโตชะลอตัวลง เพราะคาดสินเชื่อ flat y-y ในปี 2565 ธนาคารยังคงคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อบางกลุ่ม ประกอบกับคาดต้นทุนทางการเงินลดลงจำกัด และคาด Credit cost ที่ 90 bps ในปี 2565 ลดลงเล็กน้อยจาก 100 bps ในปี 2564 คาดธนาคารยังคงต้องการรักษา Coverage Ratio สูงต่อเนื่องเพื่อรองรับความไม่แน่นอน

ส่วน บล.เอเอสแอล ระบในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TISCO ประเมินราคาเป้าหมาย 114.50 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 เท่ากับ 1.62 พันล้านบาท ขยายตัว 3.6% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากรายได้ Non-NII หนุน โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมกองทุนและประกัน แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่เป็นปัจจัยฤดูกาล โดยมี OPEX/Rev อยู่ที่ 49% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2564 ที่ระดับ 47% และการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น ด้านเมื่อเทียบจากปีก่อนหดตัวเล็กน้อย จาก Non-NII ที่หดตัวลงจากฐานที่สูงในปีก่อนทีมีกำไรจากเงินลงทุน 226 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยที่หดตัว

สำหรับภาพทั้งปี 2564 ประเมินกำไรสุทธิที่ 6.6 พันล้านบาท สินเชื่อหดตัว 8% NIM หดตัวลงเหลือ 4.5% ส่วน NPLs ratio ราว 2.8% ขณะที่ Credit cost ลดลงเหลือ 99.1 bps จากปีก่อนที่ 148.2 bps ขณะที่แนวโน้มปี 2565 เติบโตอย่างระมัดระวังคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 6.87 พันล้านบาท ขยายตัว 4.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากสินเชื่อที่ทรงตัว (บล.เอเอสแอล คาดเพิ่มขึ้นเพียง 1.5%) ทรงผลต่อรายได้ดอกเบี้ยที่จะหดตัวลง แนวโน้ม NIM ลดลงเหลือ 4.3% ขณะที่รายได้ Non-NII ยังขยายตัวจากธุรกิจประกันและกองทุน ด้านค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงเหลือ 43% ส่วน Credit cost ลดลงเหลือ 95.3 bps เพื่อยังคง Coverage ratio ในระดับสูง 200% รวมถึงในช่วงที่ผ่านมามีการตั้งสำรองล่วงหน้าในระดับสูงมาแล้ว และคาดปี 2564 มี DPS ที่ 6.65 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield ที่สูง 7%

ส่วนบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TISCO ประเมินราคาเป้าหมาย 110 บาท ราคาหุ้นยังมี Upside บวกกับ ปันผลปี 2564 ที่คาดว่าจะจ่ายที่ 6.9 บาท คิดเป็น Dividend Yield ราว 7% ซึ่งยังสงูงจูงใจ และคาดกำไรไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 1,634 ล้านบาท เติบโต 5% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่ทรงตัวเมื่อเทียบจากปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอาจยังอ่อนตัวลงตามสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังหดตัว แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอาจฟื้นตัวได้ดี โดยรายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ส่วนกำไรจากเงินลงทุนดีขึ้นตามแนวโน้มตลาดทุน ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้อาจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อร เป็นผลจากที่ไตรมาส 3/2564 มีกลับสำรอง แต่ยังลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน ตามคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น คาดปี 2565 กำไรเติบโต 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน หลังคาดการระบาดและเศรษฐกิจกดดันน้อยลง คาดสินเชื่อเริ่มฟื้น ส่วนสำรองหนี้ยังลดลงต่อเนื่อง

ด้านบล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TISCO ประเมินราคาเป้าหมาย 106 บาท โดยการพยายามควบคุมระดับ NPL ประกอบกับการตั้งสำรองจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ TISCO เป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL สูงที่สุดในกลุ่มมาตั้งแต่ไตรมาส 3/2563 หลังจาก BBL เป็นธนาคารที่มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL สูงที่สุดมาอย่างยาวนาน โดยไตรมาส 3/2564  TISCO มีสัดส่วนอยู่ 196% ในขณะที่ BBL ที่มีสัดส่วนรองลงมาที่ 190% และกลุ่มธนาคารมีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 158%

ส่วนผลกำไรของ TISCO ในไตรมาส 4/2564 คาดจะมีกำไร 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการลดลงของการตั้งสำรองหลังจากมีการตั้งไว้เพียงพอแล้ว และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ในขณะที่รายได้ยังลดต่ำลงจากสินเชื่อที่คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมลดลงด้วย เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564  คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

โดยคาดว่าในไตรมาส 4/2564 จะไม่มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนเหมือนในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้คาดกำไรปี 2564 อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการตั้งสำรองที่ลดลงมาก หลังจากมีการตั้งไว้เพียงพอแล้วในปีที่ผ่านมา และการควบคุมระดับเงินฝาก รวมไปถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดต่ำลง และเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ลดต่ำลง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการหดตัวลงของสินเชื่อ

นอกจากนี้เนื่องจาก TISCO มีโครงสร้างบริษัทเป็น Holding Company ทำให้ไม่ติดกฎเกณฑ์จำกัดการจ่ายปันผลจาก ธปท.ซึ่งทำให้ในปี 2563 มีการจ่ายปันผลสูงถึง 6.30 บาท/หุ้น คิดเป็น Pay-out ratio สูงถึง 83.2% ในขณะที่กลุ่มธนาคารมีการจ่ายปันผล  Pay-out ratio เพียง 11.2-52.4% เท่านั้น และในปี 2564 ถึงแม้ว่าธปท. จะได้ผ่อนคลายข้อจำกัดการจ่ายปันผลให้กับกลุ่มธนาคารบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับที่เคยอนุญาตให้จ่ายก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และทางฝ่ายคาดว่า TISCO จะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2564 อยู่ที่ 6.85 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็น Div.yeild ถึง 7.2% และ TISCO ยังไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลออกมา

ขณะที่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มการเติบโตของกำไรหุ้น TISCO ในปี 2565 จะเติบโตประมาณ 3-4% แม้ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตที่ไม่โดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับกำไรของทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยราว 10% เมื่อเทียบกับฐานกำไรในปี 2564 แต่ด้วยความโดดเด่นเรื่องผลตอบแทนที่สูง

ส่วนในแง่ของอัตราการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในปี 2565 เบื้องต้นประเมินว่าจะสูงถึง 7 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนในรูปแบบของ Dividend Yield ถึง 7.5% ต่อปี ส่งผลให้ยังคงคำแนะนำเชิงบวกให้กับนักลงทุนที่ต้องการบริหารพอร์ต รับผลตอบแทนที่ดีจากเงินปันผล ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งปี 2565

Back to top button