“ฟินันเซีย ไซรัส” หั่นเป้า SMT เหลือ 7.2 บ. เซ่นวิกฤติ “ชิปขาดแคลน” กระทบรายได้กว่าคาด

“ฟินันเซีย ไซรัส” หั่นราคาเป้าหมาย SMT เหลือ 7.2 บ. จากเดิม 8 บ. เซ่นพิษวิกฤติ "ชิปขาดแคลน" กระทบรายได้มากกว่าคาด อาจฉุดกำไรไตรมาส 4/64 ลดลงจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ปรับลดรายได้และกำไรปี 64-65


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (18 ม.ค.2565) เกี่ยวกับหุ้น บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT ว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 อาจอยู่ที่ราว 49 ล้านบาท ลดลง 12.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 53.2% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดว่าจะโตเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนได้ แต่ด้วยปัญหา Chip Shortage ที่ยังไม่คลี่คลาย ทำให้บริษัทยังประสบปัญหาลูกค้าจัดหาวัตถุดิบบางรายการล่าช้า จึงคาดรายได้ในไตรมาส 4/2564 อาจทำได้เพียงทรงตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ราว 531 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะยังมอง Product Mix อยู่ในเกณฑ์ดีจากการเน้นทำผลิตภัณฑ์ที่มาร์จิ้นสูง คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะยังทรงตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ระดับ 22.8% เพิ่มขึ้นจาก 18.3% ในไตรมาส 4/2563 และคาดค่าใช้จ่ายจะเร่งตัวขึ้นจากค่าใช้จ่ายสำรองการแปลง ESOP พนักงาน โดยคาด SG&A to Sale ขยับขึ้นเป็น 14.8% จาก 13.6% ในไตรมาส 3/2564 และ 13.2% ในไตรมาส 4/2563

ทั้งนี้หากรายได้ไตรมาส 4/2564 เป็นไปตามคาด บริษัทจะมีรายได้ปี 2564 อยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งเป้าไว้ 2.5 พันล้านบาท แม้ปัจจุบันบริษัทยังตั้งเป้ารายได้ในปี 2565 ค่อนข้าง Aggressive ระดับ 3.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าราว 80% ของเป้า ซึ่งมาจากทั้งลูกค้ารายเดิม และรายใหม่ และอยู่ระหว่างบริหารจัดการสถานการณ์วัตถุดิบให้คลี่คลายได้มากขึ้น ล่าสุดได้เริ่มมีการทยอยปรับขึ้นราคากับลูกค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้แม้ยังมองบวกต่อแนวโน้มคำสั่งซื้อปี 2565 แต่ด้วยปัญหา Chip Shortage ที่คลี่คลายช้ากว่าคาด จึงปรับลดสมมติฐานรายได้ในปี 2564-2565 ลง 11.7% เป็น 2.2 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และ 2.77 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น  25% เมื่อเทียบจากปีก่อน) นำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ลง 2% และ 9% เป็น 214 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 162% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และ 262 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบจากปีก่อน) ตามลำดับ และปรับลดราคาหมายเป็น 7.2 บาท จากเดิม 8 บาท (อิง PE เดิม 25 เท่า)

Back to top button