โบรกแนะสะสม SCC เป้า 466 บ. รับครึ่งปีหลังดีมานด์ “บรรจุภัณฑ์-ปูนซิเมนต์” ฟื้นตัว

โบรกแนะสะสม SCC เป้า 466 บาท ลุ้นดีมานด์ธุรกิจบรรจุภัณฑ์-ปูนซิเมนต์ฟื้น มั่นใจดันยอดขายปีนี้โตเกิน 10% เดินหน้าดัน SCGC เข้าตลาดปลายปีนี้ พร้อมเตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 6 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 ส.ค.65


บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์(27ก.ค.2565) ว่า  บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565ที่ 9.9 พันล้านบาท (โต 12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ,ลดลง 42% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรดังกล่าวสูงกว่าที่คาด 17% และตลาดคาด 15% จากเงินปันผล 4.3 พันล้านบาท (โต 141% เทียบไตรมาสก่อนหน้า,โต 61% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนมากมาจากโตโยต้า (ประเทศไทย) เมื่อหักเงินปันผลและผลขาดทุนพิเศษ 60 ล้านบาท

กำไรปกติอ่อนแอ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนในทุกธุรกิจ โดยกำไรสุทธิในธุรกิจเคมีลดลงเหลือ 3.7 พันล้านบาท (โต 3% เทียบไตรมาสก่อนหน้า,ลดลง 64% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากอัตรากำไรของผลิตภัณฑ์ที่ตกต่ำตามตันทุนวัตถุดิบที่ปรับขึ้น ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM) รายงานกำไรสุทธิ 1.7 พันล้านบาท (ลดลง 27% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, ลดลง 32% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากความต้องการปูนซีเมนต์ที่ลดลง (7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งชดเชยได้บางส่วนจากปริมาณขายเซรามิคที่สูงขึ้น (12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์รายงานกำไรสุทธิที่ 1.9 พันล้านบาท (โต 12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า,ลดลง 18%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากอัตรากำไรที่ลดลง เนื่องจากตันทุนวัตถุดิบกระดาษลูกฟูกใช้แล้วและถ่านหินปรับขึ้น

ด้านธุรกิจเคมีรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 ลดลง 64% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากอัตรากำไรของผลิตภัณฑ์ที่ลดลงปริมาณขายของ PE และ PP ลดลงเหลือ 426kt (ลดลง 14% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ในขณะที่ปริมาณขายของ PVC ลดลงเหลือ 196kt (ลดลง 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน ในไตรมาส 2/2565 EBITDA margin รวมของธุรกิจฯลดลงเหลือ 7% จากตันทุนวัตถุดิบที่ปรับขึ้น ซึ่งทำให้อัตรากำไรของ PP-naphtha ลดลง (7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า)

อย่างไรก็ตามอัตรากำไรที่ลดลงดั่งกล่าวชดเชยได้บางส่วนจากอัตรากำไรที่สูงขึ้นของ HDPE-naphtha (โต 3% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) และ PVC-ethylene dichloride (โต 41% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ผลขาดทุนจากสินค้าคงคลังที่ 1 พันล้านบาท ชดเชยได้ส่วนมากจากกำไรจากการขายที่ดินจำนวน 978 ล้านบาท

scc วางแผนจดทะเบียน(บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC) ธุรกิจเคมีภายในปี 2565 ก่อนโรงงานปิโตรเคมีใหม่ กล่าวคือ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามจะสร้างเสร็จ ซึ่งอาจแปรรูป SCC จากผู้ผลิตที่ใช้ Naphtha เพียงอย่างเดียวเป็นผู้ผลิตที่มีความยืดหยุ่น ในด้านวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น พร้อมแหล่งวัตถุดิบทั้งที่เป็นก๊าซและNaphtha อย่างไรก็ดีเห็นว่าการจดทะเบียนฯอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับธุรกิจเคมีในท่ามกลางแนวโน้มอัตรากำไรในอุตสาหกรรม PE และ PP ที่อ่อนแอและมีความผันผวนสูงในปี 2565-2566

อย่างไรก้ตามแนะสะสมก่อนปรับประมาณการกำไรปี 2565 คงแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 466 บาท (SOTP) หลังโรคระบาดคิดว่าความต้องการและอัตรากำไรในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และ CBM ของ SCC จะปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดีปัจจัยดังกล่าวอาจมีน้ำหนักน้อยกว่าแนวโน้มอัตรากำไรที่อ่อนแอต่อเนื่องในธุรกิจเคมีจากตันทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง

ด้านนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจยอดขายปีนี้ยังคงเติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน ตามเป้าหมาย เนื่องจากเป็นการเติบโตของราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงาน ซึ่งในช่วงวิกฤตยอดขายบริษัทไม่ใช่จุดที่ต้องเน้น แต่บริษัทจะให้ความสำคัญในการทำกำไรและสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้า ซึ่งยังมีปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุน แต่ก็ยังมีปัจจัยลบค่อนข้างมากที่ยังท้าทายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ดังนั้น บริษัทจะเร่งดำเนินการภายใต้ 5 กลยุทธ์ คือ1. การลดต้นทุน เพิ่มการใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน 16.4% 2. พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 3. เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 4. คุมเข้มการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ โดยทบทวนการลงทุน โดยชะลอการลงทุนใหม่ ๆ ที่ไม่เร่งด่วน หรือโครงการที่ให้ผลตอบแทนนาน โดยบริษัทมุ่งเน้นโครงการที่ให้ผลตอบแทนเร็ว ขณะที่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม (LSP) การก่อสร้างคืบหน้า 96% ก็ยังดำเนินการต่อ คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในปลายปีนี้ต่อเนื่องไปต้นปี 2566 และ5. เดินหน้า ESG โดยครึ่งแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายนวัตกรรมรักษ์โลกภายใต้ฉลาก SCG Green Choice ประมาณ 1.53 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 50% ของยอดขายรวม

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 6 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 7,200 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 26 สิงหาคม 2565 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 10 สิงหาคม 2565 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565

Back to top button