SCB EIC ชี้ศก.ไทยครึ่งปีหลังขยายตัวดี รับท่องเที่ยว-การบริโภคภาคเอกชนหนุน

SCB EIC คาดเศรษฐกิจ-ส่งออกไทยครึ่งปีหลัง 66 ขยายตัวดี กว่าครึ่งปีแรก รับท่องเที่ยว-การบริโภคภาคเอกชนหนุน พร้อมแนะจับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบต่อการฟื้นตัว


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 66 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี 66 จากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยฟื้นตัวใกล้เคียงประมาณการ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดบริการ ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น สำหรับการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง H2/66 จากที่หดตัวต่อเนื่องใน H1/66

ขณะที่เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลง จากการปล่อยสินเชื่อและภาวะการเงินที่จะตึงตัวต่อเนื่องตามผลสะสมของการขึ้นดอกเบี้ย ภาคการผลิตและอุปสงค์สินค้าที่จะยังซบเซา แรงหนุนจากภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง แรงส่งจากเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง

อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานตึงตัวและการเติบโตที่แข็งแกร่งของค่าจ้างในช่วงครึ่งแรกของปี จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคในระยะต่อไป และช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ อย่างไรก็ดีมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากหลายปัจจัย อาทิ

1.การกลับมาของเอลนีโญที่เห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร โดยข้อมูลน้ำฝนในเดือน มิ.ย. สะท้อนว่าพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อาจประสบภาวะฝนแล้งรุนแรงมากกว่าที่ SCB EIC คาดไว้ในเดือน พ.ค.

2.การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจเป็นไปได้ที่จะล่าช้าถึงปลายเดือน ต.ค. หลังพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

3.ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบางจากรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อีกนาน มีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มอื่น

4.ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางสูงขึ้น SCB EIC คาดว่าบริษัทราว 16% มีความเสี่ยงเป็นบริษัทผีดิบ (Zombie firms) ในปี 2566 ส่วนหนึ่งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรฐานการให้สินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น

ด้านเงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัว และผลจากปัจจัยฐาน สำหรับนโยบายพยุงราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภาระต่าง ๆ ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนไว้และการรักษาสมดุลของค่าครองชีพประชาชน มากกว่าการปรับตัวตามทิศทางราคาพลังงานโลก ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มจะชะลอลงช้ากว่าจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการมายังราคาผู้บริโภค

ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่านโยบายการเงินไทย จะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ Terminal rate ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ตามปัจจัยเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อที่แม้จะกลับมาอยู่ในกรอบ แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ และปัจจัยดอกเบี้ยที่แท้จริงควรกลับเป็นบวก ภาวะการเงินไทยจึงมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง

ในระยะสั้นเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าและผันผวนสูงจากหลายปัจจัย คาดว่าระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางเงินบาท ในช่วงปลายปีคาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าที่ราว 32.80-33.80 บาท/ดอลลาร์ จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่จะปรับลดลง เงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าหลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย

Back to top button