SCB EIC ชี้เศรษฐกิจไทย Q4 ฟื้น รับท่องเที่ยว-บริโภคหนุน

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/66 ฟื้นตัวต่อ รับอานิสงส์ส่งออกแกร่ง รวมถึงบริโภคเอกชนหนุน และท่องเที่ยวจะยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวต่อได้จากการบริโภคภาคเอกชนและภาคบริการเป็นหลัก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/2566 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอาเซียน เอเชียตะวันออก และยุโรป แม้ว่าการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนบางส่วน และผลกระทบจากการยกระดับสงครามในอิสราเอลฯ ส่งผลให้การเร่งตัวของจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์

ขณะที่ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยจะยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง อีกทั้งการส่งออกสินค้าไทยที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวและคาดว่าจะกลับมาขยายตัวชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4/2566 จากราคาสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเอลนีโญ ราคาสินค้าส่งออกเกี่ยวกับพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงผลจากปัจจัยฐานต่ำ

ส่วนกรณีฐาน SCB EIC ประเมินว่า สงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์กระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรงผ่านการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าไม่มากนัก แต่หากสงครามครั้งนี้ขยายวงกว้างไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจกระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทยในภูมิภาคนี้ รวมถึงอาจกระทบแรงงานไทยที่ทำงานในอิสราเอลและประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ได้

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า จากราคาสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและนโยบายจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรของบางประเทศ รวมถึงราคาพลังงานที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงจากการขยายระยะเวลาลดกาลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และความไม่แน่นอนของสงครามในอิสราเอลฯ แต่แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านพลังงาน จะมีส่วนช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะข้างหน้าเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายได้

โดย SCB EIC คาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน 2.5% ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวแล้ว และสอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะต่อไปที่จะเร่งตัวขึ้น อีกทั้ง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว

สำหรับค่าเงินบาท สงครามในอิสราเอลฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกและราคาสินทรัพย์ปลอดภัยปรับสูงขึ้น แต่ไม่กระทบค่าเงินบาทมากนัก จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณ Dovish comments ส่งผลเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าตลาดพันธบัตรไทย โดยปรับมุมมองค่าเงินบาทจะปรับแข็งค่าขึ้นในไตรมาส 4/2566 และทยอยแข็งค่าต่อเนื่องในปีหน้า จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และนโยบายการเงินของเฟดที่จะตึงตัวน้อยลงในปีหน้า ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐจะทยอยอ่อนค่าลง โดยคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2566 และแข็งค่าสู่ระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2567

Back to top button