“กรภัทร” มอง SET แกว่งตัวกรอบแคบ แนะจับตาผลแพทยสภา-การเมืองไทย

“กรภัทร วรเชษฐ์” ประเมินตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงรอปัจจัยชี้นำสำคัญ ทั้งผลพิจารณาแพทยสภา แนวโน้มดอกเบี้ยจากกนง. และความชัดเจนทางการเมือง ชี้ SET มีโอกาสรีบาวด์หากจิตวิทยาตลาดฟื้น


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังคงผันผวนในกรอบ โดยมีหลายปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ได้แก่ ผลการพิจารณาของแพทยสภา หากผลออกมาในเชิงบวกหรือไม่มีความผิด คาดว่าจะเป็นแรงหนุนให้ดัชนี SET Index รีบาวด์ขึ้นไปในกรอบ 1,160-1,170 จุด แต่หากผลออกมาในเชิงลบ จะกดดันตลาดและอาจเห็นการย่อตัวลงมาที่ระดับแนวรับ 1,130-1,120 จุด

อีกประเด็นสำคัญคือกระบวนการไต่สวนคดีชั้นที่ 14 ซึ่งยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะมีการเลื่อนการพิจารณาออกไป 10 หรือ 30 วัน หากเกิดการเลื่อนจริง อาจเปิดโอกาสให้ตลาดเก็งกำไรในเชิงบวกได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดยังคงต้องรอบทสรุปที่ชัดเจนว่าจะส่งผลต่อภาพรวมตลาดอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญในระดับนโยบายเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับแนวโน้มดัชนีในวันนี้ นายกรภัทรระบุว่า ดัชนียังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1,148 จุด หากสามารถผ่านระดับดังกล่าวได้ อาจเปิดทางไปสู่แนวต้านถัดไปที่ 1,160 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,135 จุด ซึ่งเป็นจุดที่มีแรงซื้อรองรับในช่วงก่อนหน้า

ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากจิตวิทยาตลาด โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น MTC, SAWAD, MICRO และ AEONTS นายกรภัทรให้ความเห็นว่า แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงมา แต่ยังไม่พบปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ MTC ที่ยังมีโครงสร้างฐานะการเงินแข็งแกร่งและอัตราส่วนสินทรัพย์ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Asset to Equity) ที่อยู่ในระดับดี ทั้งนี้ประเด็นที่ถูกหยิบยกในตลาดอาจมาจาก 2 เรื่องหลัก ได้แก่ แนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีการคุมเข้มสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งเป็นมาตรการที่เคยใช้มาแล้วในอดีต และกรณีการคืนใบอนุญาตของผู้ประกอบการในธุรกิจพิโกไฟแนนซ์บางราย

โดยภาพรวม การปรับฐานของหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ในครั้งนี้ยังคงเป็นเพียง Sentiment เชิงจิตวิทยาในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงจะส่งผลต่อฐานรายได้ของผู้ประกอบการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบสัญญาณที่บ่งชี้ว่าจะส่งผลกระทบในระดับโครงสร้าง

สำหรับเศรษฐกิจไทย นายกรภัทร มองว่า การปรับลดประมาณการ GDP ลงสู่ระดับ 1.3-1.8% น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และไม่น่าจะลดลงไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนใหม่เข้ามา ได้แก่ ความคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้ผ่านช่วง “Bottom” หรือจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ระยะสะสมพลังเพื่อรอปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นความไม่แน่นอนที่ต้องจับตา ซึ่งหากยังไม่คลี่คลาย อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี

Back to top button