
WHAUP ครึ่งปีแรกรายได้ 1.9 พันลบ. หนุนกำไร 460 ล้านบาท ลุยขยายธุรกิจ Data Center
WHAUP รายงานงบงวด 6 เดือนแรก ปี 68 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,898 ล้านบาท กำไรปกติ 460 ล้านบาท เดินหน้าขยายระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม WHA พร้อมรองรับลูกค้ากลุ่ม Data Center ที่มีความต้องการใช้น้ำสูง พร้อมดันโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มกำลังผลิตหนุนอนาคตเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,898 ล้านบาท มีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 460 ล้านบาท ลดลง 33% และมีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 365 ล้านบาท ลดลง 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยการลดลงของกำไรปกติมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าลดลง โดยเฉพาะจากธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ในช่วงไตรมาส 2/2568 มีการบันทึกรายการพิเศษเกี่ยวกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นจากการชำระคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เคยได้รับการตรึงราคาโดยภาครัฐในอดีต รวมถึงในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน บริษัทฯ มีการรับรู้รายการพิเศษเกี่ยวกับรายได้เงินชดเชยจากการประกันภัย
อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำลังการผลิตไฟฟ้า รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจน้ำที่เวียดนามยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP เปิดเผยว่า WHAUP ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขยายธุรกิจการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการด้านสาธารณูปโภคและพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
สำหรับภาพรวมธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,216 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากการเริ่มทยอยรับรู้รายได้ค่าใช้น้ำส่วนเกิน (Excessive Charge) จากลูกค้ากลุ่ม Data Center และการเติบโตของยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม แม้ว่าปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบและน้ำอุตสาหกรรมจะลดลงก็ตาม
สำหรับปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในต่างประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากยอดจำหน่ายน้ำที่เพิ่มขึ้นของโครงการ Doung River โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนามทั้งสิ้น 48 ล้านบาท เติบโต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ภาพรวมของธุรกิจน้ำในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 คาดว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนขยายการให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม Data center ที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำสูง โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นในครึ่งปีหลัง
ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากสัญญา Private PPA รวมทั้งสิ้น 241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Rooftop เพิ่มจำนวน 21 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 26 เมกะวัตต์
ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Solar Private PPA สะสมจำนวน 315 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ราว 991 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นจำนวนกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้ว จำนวน 706 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา จำนวน 285 เมกะวัตต์
ในส่วนของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 347 ล้านบาท ลดลง 31% ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า SPP ที่ลดลงจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากการชำระคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เคยได้รับการตรึงราคาโดยภาครัฐในอดีต ทำให้มีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP มีการรับรู้รายได้ชดเชยจากการประกันภัย
สำหรับภาพรวมธุรกิจไฟฟ้าในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการ Direct PPA และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff เป็นต้น
นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความท้าทายและความไม่แน่นอน เป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เข้าอยู่ในทำเนียบกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน