
คัด 5 หุ้นเด่น น่าลงทุน เดือนก.ย. รับเฟดผ่อนคลายนโยบาย-การเมืองปลดล็อก
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองธนาคารกลางสหรัฐผ่อนคลายนโยบาย และการเมืองคลี่คลาย แนะลงทุน 5 หุ้นเด่นเดือนก.ย. คือ CPN-ICHI-MTC-STECON-SYNEX
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีท่าทีดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น หลังให้ความสำคัญกับภาวะการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี ทำให้ตลาดคาดว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือนนี้ และอาจมีการลดเพิ่มอีกหนึ่งครั้งภายในปี 2568 ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อ่อนตัวลง หนุนสกุลเงินเอเชียรวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคม หากออกมาต่ำกว่าคาดมาก อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงินจากความกังวลการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก
ด้านเศรษฐกิจไทย แม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568 ขยายตัวดีกว่าคาดที่เพิ่มขึ้น 0.6% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เป้าหมาย GDP ทั้งปีที่คาดเติบโตเพียง 2-2.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนแรงส่งในครึ่งหลังที่อาจเหลือเพียง 1-1.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกออกมาใกล้เคียงคาด โดยคิดเป็น 49% ของประมาณการทั้งปี ส่งสัญญาณความเสี่ยงที่อาจถูกปรับลด EPS ตลาดลงเล็กน้อย
สำหรับดัชนี SET นักวิเคราะห์คงเป้าหมายปี 2568 ที่ระดับ 1,290 จุด อิง EPS 86 บาท และ Target PER 15 เท่า แม้ดัชนีปรับขึ้นแรงเกือบ 20% ตั้งแต่ปลายมิถุนายน แต่ Upside ที่เหลือค่อนข้างจำกัด โดยมองว่าหากต้องการกลับไปที่ระดับ 1,400 จุดขึ้นไป นักลงทุนอาจต้อง Rollover การประเมินไปยังปี 2569 ซึ่งคาด EPS จะเติบโต 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมาที่ 93 บาท
ทั้งนี้ หากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศคลี่คลายลง โดยการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จได้รวดเร็ว จะช่วยหนุน Sentiment ตลาด ขณะที่งบประมาณปี 2569 คาดว่าจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาในเดือนนี้โดยไม่มีอุปสรรค กลุ่ม Domestic Play ที่ยัง Laggard เช่น ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และท่องเที่ยว มีโอกาสพลิกกลับมา Outperform
โดยหุ้นเด่นที่ถูกแนะนำ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON และ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ดังนี้
ฝ่ายวิจัยประเมินว่า CPN ทำกำไรปกติครึ่งปีแรก 2568 คิดเป็น 49.96% ของประมาณการทั้งปี สะท้อนฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยแนวโน้มครึ่งปีหลังยังคงสดใส จากบรรยากาศการจับจ่ายที่คึกคัก การเปิดให้บริการศูนย์การค้าแห่งใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ Central Park และ Central กระบี่ รวมถึงอาคารสำนักงานให้เช่าอีก 1 แห่ง ขณะที่ช่วงปลายปีจะมีคอนโดมิเนียมใหม่เริ่มโอน
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 17,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อนหน้า พร้อมแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 73 บาท โดยมองว่าหุ้นซื้อขายที่ P/E ปี 2568 เพียง 13.3 เท่า ต่ำกว่า -1.6 SD และถือว่าต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี
ด้าน ICHI คาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 2568 จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังผู้บริหารยังคงเป้าหมายรายได้ทั้งปี 9.5 พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน โดยรายได้ครึ่งหลังจำเป็นต้องขยายตัวราว 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
แรงหนุนสำคัญมาจากสัดส่วนรายได้ธุรกิจ OEM ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์มีทิศทางลดลงจากปีก่อน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 16% สูงกว่าระดับ 15.2% ในปี 2567 แม้รายได้จาก OEM มีอัตรากำไรต่ำกว่า Own Brand แต่สามารถชดเชยด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับไตรมาส 3/2568 บริษัทคาดรายได้รวมยังขยายตัวได้ทั้งเทียบไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อนหน้า โดยเบื้องต้นคาดกำไรปกติราว 380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน และใกล้เคียงปีก่อนหน้า สวนทางปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ยอดขายในร้านสะดวกซื้อช่วงไตรมาส 3 จนถึงปัจจุบันเติบโตประมาณ 45-50% จากปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่เพื่อรองรับความต้องการในช่วงไตรมาส 4/2568 ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดของปี ส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ขึ้น 15% สู่ระดับ 1.3 พันล้านบาท ลดลงเพียง 3.3% จากปีก่อน และจะกลับมาเติบโต 7.2% ในปี 2569
โดยปรับคำแนะนำหุ้น ICHI ขึ้นเป็น “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายปี 2026 เป็น 14 บาท อิงค่า PE เดิมที่ 13 เท่า หลังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกำไร โดยมองว่ากำไรต่ำสุดได้ผ่านไปแล้วในไตรมาส 1/2568 และแนวโน้มครึ่งหลังปี 2568 มีโอกาสออกมาดีกว่าคาด
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PE ในปี 2568-2570 เพียง 10–11 เท่า ขณะที่บริษัทยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ราว 10% ต่อปี ล่าสุดประกาศจ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรกหุ้นละ 0.55 บาท คิดเป็น Yield 4.7%
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ระดับ 56 บาท ทั้งนี้ คาดว่า MTC จะมีกำไรสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลง หลังจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดีขึ้น ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (C/C) อยู่ในทิศทางลดลง อีกทั้งคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ
ส่วน STECON แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2568 คาดธุรกิจก่อสร้างยังมีโมเมนตัมเชิงบวก รายได้เติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้า Solar และการทยอยรับรู้รายได้โครงการ Data Center ที่เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 2/2568
ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดทรงตัวราว 7% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) มีแนวโน้มปรับลดลงจากครึ่งแรกของปี อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิครึ่งหลังปี 2568 อาจอ่อนลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อน เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษเหมือนในไตรมาส 2/2568 แต่ยังคงปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทขาดทุนสุทธิ
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจก่อสร้างและการไม่มีการรับรู้ส่วนขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง ขณะที่กรณีแรงงานกัมพูชาซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 39% ของแรงงานทั้งหมด คาดว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน
บริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2568 ขึ้น 41% เป็นราว 1.3 พันล้านบาท จากการรับรู้เงินเคลมประกันโครงการอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองในไตรมาส 2/2568 ขณะที่คงประมาณการกำไรปกติไว้ที่ 967 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น STECON ราคาเป้าหมายเดิมที่ 9.50 บาท อิง P/BV ที่ 0.8 เท่า
นักวิเคราะห์ประเมินว่า SYNEX คาดกำไรสุทธิเฉลี่ยเติบโต 11% CAGR ในช่วงปี 2568-2570 หนุนด้วยรายได้ที่คาดเติบโตเฉลี่ย 10% CAGR โดยในปี 2568 คาดกำไรหลักแตะ 651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากรายได้ที่คาดขยายตัว 14.3%
แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ Apple (เพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน) และสมาร์ทโฟน (เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน) รวมถึงโอกาสจากตลาดเกมมิ่งที่ได้อานิสงส์การเปิดตัว Nintendo Switch 2 แม้ GPM อาจอ่อนตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.8% (จาก 4.0% ในปี 2567) แต่การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ, economies of scale และส่วนแบ่งกำไรจาก NCAP (ถือหุ้น 28%) จะช่วยสนับสนุนการทำกำไร
มองบวกจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) กำไรมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง, 2) Valuation ยังไม่แพง และ 3) Dividend yield ที่น่าสนใจ 4.4-4.8% ต่อปี ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” SYNEX ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 14.50 บาท (ปรับลงจาก 15 บาท) อิงค่า P/E ปี 2568 ที่ 17 เท่า ใกล้ค่าเฉลี่ยของผู้ค้าปลีกและแบรนด์ไอทีทั้งในและต่างประเทศ