DUSIT ส่งซิกปี 69 พลิกกำไร รับรายได้ “Residences-Parkside” ทะลุ 1.7 หมื่นล้านบาท

DUSIT มั่นใจปี 69 พลิกมีกำไร หลังโครงการ Dusit Residences-Parkside ขายแล้วกว่า 90% มูลค่ารวมสะสมเกือบ 17,000 ล้านบาท เริ่มทยอยโอนตั้งแต่ปลายปีนี้ ก่อนรับรู้รายได้ก้อนใหญ่ 80% ปีหน้า คาดลุยปลดภาระหนี้เกือบทั้งหมด ฟาก “ชนินทธ์” เปรยปัญหาขัดแย้งภายในแนวโน้มยุติลงด้วยดี หลังทุกฝ่ายพูดคุยกันต่อเนื่อง


นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาการทำงานร่วมกับ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ มีการพูดคุยและปรึกษากันแทบทุกวันแม้แต่ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นี่คือสไตล์การทำงานของ DUSIT ที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันและการทำงานร่วมกันเสมือนครอบครัว ตามแบบที่ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์” ได้วางรากฐานไว้

โดยเรื่องสำคัญในวันนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเด็น เรื่องแรก การเปลี่ยนแปลง หลังคุณศุภจีได้รับการทาบทามจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เข้าดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” และตัดสินใจตอบรับเป็นที่เรียบร้อย จึงมีความประสงค์จะขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนดจากตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT”

“สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ หากย้อนดูประวัติของท่านผู้หญิงชนัตถ์หรือแม้แต่ของผมเอง เราทำสิ่งต่างๆ เพื่อสังคมาโดยตลอด คุณแม่อยู่ในแวดวงการทำงานเพื่อสังคมมากว่า 40-50 ปี ส่วนตัวผมเองก็ทำงานมากว่า 30 ปี ก่อนจะเข้ามาช่วยดูแลกิจการ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นแนวทางที่เรายึดถือมาโดยตลอด การที่บุคลากรระดับอาวุโสของบริษัทจะได้มีบทบาทสำคัญเพื่อช่วยเหลือสังคม เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับค่านิยมและแนวทางของดุสิตมาโดยตลอด” นายชนินทธ์ กล่าว

ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับผลประกอบการในอดีตที่ถูกกล่าวถึงว่า ขาดทุน ผมอยากเรียนให้ทราบตรงๆ ว่า ความจริงแล้วบริษัททำได้ดีมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ ซึ่ง DUSIT เป็นโรงแรมเพียงไม่กี่แห่งที่แม้จะไม่มีผลกำไรต่อเนื่องตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและมีผลขาดทุนสะสมอยู่ราว 1,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองไม่เห็นก็คือ เรากำลังพยายามสร้างโครงการที่ดีและมีความหมายอย่างแท้จริงอย่าง โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park)

“ส่วนประเด็นการประชุมและวาระการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2568 วันที่ 26 ก.ย. ส่วนตัวมองว่าปัญหาดังกล่าวจะสามารถยุติลงด้วยดี ซึ่งที่ผ่านมามีการพูดคุยอยู่เรื่อยๆ เชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายต้องการให้ผลออกมาดีที่สุด และไม่จำเป็นต้องขยายความต่อไป สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญในวันนี้คือทิศทางการดำเนินธุรกิจ DUSIT และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย”  นายชนินทธ์ กล่าว

หากถามถึงปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท เป็นการตัดสินใจร่วมกันของผมและคณะกรรมการ ด้วยเหตุผลสำคัญว่า โรงแรมดุสิตธานี อายุเกิน 50 ปี ถึงเวลาต้องมีการปรับปรุงสร้างตำนานบทใหม่ ซึ่งจะเป็นการไม่คุ้มหากทำเพียงโรงแรมอย่างเดียว จุดนี้นำมาซึ่งโครงการขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ โรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และที่พักอาศัย (Residences) ซึ่งผ่านการวางแผนเป็นระยะเวลานาน

สำหรับโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มีจุดสำคัญอยู่ 4 ประการที่สะท้อนถึงความตั้งใจของ DUSIT 1.) การสร้างโรงแรมแห่งใหม่ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนโฉมภาพลักษณ์ของดุสิตธานี โรงแรมดุสิตธานี 2.) การพัฒนาโครงการที่บริษัทไม่เชี่ยวชาญจึงต้องเลือกให้พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุดเข้ามาดำเนินการ เช่น การพัฒนา “ศูนย์การค้า” ที่มอบหมายให้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN

3.) DUSIT มุ่งหวังจะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อาทิ สวนลอยฟ้า “ดุสิตอรุณ” ถือเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เข้ามาใช้พื้นที่ และ 4.) พัฒนาที่พักอาศัย Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของโครงการ อยู่ที่ 406 ยูนิต อีกทั้งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริง ซึ่งสามารถขายได้กว่า 90% แม้ในช่วง โควิด-19 โดยปัจจุบันมียอดขายสะสมใกล้ 17,000 ล้านบาท จากลูกค้าประมาณ 400 ครอบครัว

ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่จะเริ่มรับรู้ตั้งแต่ปลายปีนี้เล็กน้อย และปี 2569 คาดการณ์รับรู้คิดเป็น 80% ถัดไปในปี 2570 จะรับรู้ส่วนที่เหลือซึ่งคาดการณ์ช่วย “ปลดหนี้สิน” จากดอกเบี้ยเงินกู้ได้เกือบทั้งหมด พร้อมสนับสนุนผลงาน DUSIT กลับมามีกำไรหากเป้าหมายการโอนเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งจะนำธุรกิจสู่ยุคใหม่

ขณะที่ย้ำว่า โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพของกลุ่มดุสิตธานีที่ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น ขอให้ผู้ลงทุน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ “ดุสิตธานี” ดำเนินการมาโดยตลอด

ด้าน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก และสามารถทำให้ “ดุสิตธานี” เป็นหมุดหมายที่สำคัญของประเทศไทยจากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก

สำหรับการก้าวเข้าสู่บทบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดิฉันมองว่าประสบการณ์จากภาคเอกชนจะช่วยผลักดันด้านเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยเฉพาะในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ ไม่ใช่เพียงการพึ่งพามาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว ซึ่งรัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อยู่แล้ว

“บทบาทใหม่ในครั้งนี้จะสามารถนำประสบการณ์จากภาคเอกชน มาผสมผสานกับภารกิจของภาครัฐ เพื่อยกระดับศักยภาพการค้าไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม” นางศุภจี กล่าว

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณคุณชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ ที่ให้โอกาสและมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญจนลุล่วง รวมถึงยินดีและเต็มใจที่จะให้ดิฉันมีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถในการรับใช้ประเทศชาติและประชาชน และดิฉันเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ดุสิตธานีจะสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในฐานะแบรนด์ไทยในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน

Back to top button