เปิด 7 กองรีทเด่น! รับนโยบาย BOI ลุยลงทุนพลังงานสีเขียว พร้อมชูยีลด์สูง

เปิด 7 กองรีทเด่น! รับนโยบาย BOI ลุยลงทุนกลุ่ม Green & Digital พร้อมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับสูงและสม่ำเสมอ 5.3%-10.7%  โดยเฉพาะ ALLY และ WHAIR ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเกิน 10% ต่อปี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นโยบายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กลายเป็นอีกหนึ่งแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป หลังมุ่งดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูง ทั้งเทคโนโลยีขั้นสูง นวัตกรรมดิจิทัล และพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับประเทศสู่เศรษฐกิจฐานคุณค่า (Value-Based Economy)

ภายใต้นโยบายใหม่นี้ BOI ได้เพิ่มแรงจูงใจให้แก่นักลงทุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 8 ปี พร้อมทั้งนำร่องระบบ “Fast Plus Pass” ที่ช่วยลดขั้นตอนการอนุมัติการลงทุนให้รวดเร็วขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับแรงหนุนอย่างชัดเจน ได้แก่ 1.) ศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Data Center, HPC, GPU Farm) 2.) อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงและเซมิคอนดักเตอร์ 3.) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) 4.) พลังงานสีเขียวและโมเดลเศรษฐกิจ BCG 5.) เกษตร–อาหารเทคโนโลยี 6.) ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI มองว่า นโยบายดังกล่าวจะเป็นตัวเร่งสำคัญในการขยายการลงทุนของภาคเอกชน และสร้างอุปสงค์ต่อพื้นที่เชิงอุตสาหกรรม รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและโลจิสติกส์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่มีพอร์ตทรัพย์สินสอดคล้องกับแนวทาง “Green & Digital Infrastructure” ที่ภาครัฐกำลังผลักดัน

บล.เคจีไอ ระบุเพิ่มเติมว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวและดิจิทัลจะช่วยเพิ่มความต้องการใช้พื้นที่โรงงาน ศูนย์กระจายสินค้า และคลังสินค้าทันสมัย ส่งผลเชิงบวกต่อ REIT เชิงอุตสาหกรรมโดยตรง พร้อมชี้ว่าในภาวะดอกเบี้ยขาลง สินทรัพย์ประเภท Yield Play อย่าง REIT และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ด้วยคุณสมบัติให้ผลตอบแทนจากกระแสเงินสดมั่นคง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่น

โดย KGI  จัดให้ กองทุนดาวเด่นระดับแนวหน้า ได้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท หรือ CPNREIT, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล หรือ WHAIR และ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอมตะซัมมิทโกรท หรือ AMATAR ซึ่งมีฐานผู้เช่าคุณภาพสูงและรายได้สม่ำเสมอ

ขณะที่ กองทุนดาวเด่นระดับรอง ได้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัลไล หรือ ALLY, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แกรนด์ รอยัล ออคิด โฮสพีทาลิตี้ ที่มีข้อตกลงในการซื้อคืน หรือ GROREIT, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล หรือ LHHOTEL และ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล หรือ PROSPECT ซึ่งยังคงมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องในระยะยาว

ทั้งนี้ หากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลัง พบว่า 7 กองทุนดังกล่าวให้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับสูงและสม่ำเสมอ โดยในช่วงปี 2566–2567 อยู่ระหว่าง 5.3%-10.7% ซึ่งถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทางเลือกอื่น โดยเฉพาะ ALLY และ WHAIR ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเกิน 10% ต่อปี

ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นสู่ขาลง นักลงทุนจึงเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอและป้องกันความผันผวนของตลาดได้มากขึ้น ซึ่ง REIT ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งด้าน ผลตอบแทน ความมั่นคง และการเติบโตระยะยาว

การปรับพอร์ตเพื่อลงทุนใน REIT กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและนิคมอุตสาหกรรม จึงอาจเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยง พร้อมเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความยั่งยืนอย่างแท้จริง

Back to top button