
NTF ตั้ง “เคจีไอ” ลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะราคาไอพีโอ 6 บ. เปิดจอง 4-8-9 ธ.ค.นี้
NTF แต่งตั้ง บล.เคจีไอ เป็นลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ พร้อมผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 2 แห่ง สำหรับการเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 4-8–9 ธ.ค. 68 พร้อมเตรียมเข้าซื้อขายในตลาด mai ภายในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้นับเป็นบริษัทส่งออกผลไม้สดรายแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มั่นใจดึงดูดความสนใจนักลงทุน จากศักยภาพการเติบโตและโอกาสขยายยอดขายต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ้ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายของ บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NTF เปิดเผยว่า NTF ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง KGI เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 60,000,000 หุ้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไชรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ไว้ที่ 6.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 5.7 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไร สุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568) ซึ่งเท่ากับ 209.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้น ทั้งหมดของ NTF ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 200 ล้านหุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 1.05 บาท ต่ำกว่าคาเฉลี่ยของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (หมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารหรือ AGRO)
ทั้งนี้ สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความน่าสนใจของหุ้น NTF ในเชิงมูลค่า โดย NTF มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ โดยจะเปิดจองซื้อ IPO ในวันที่ 4 ธันวาคม และ 8-9 ธันวาคม 2568 คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนธันวาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “NTF”
สำหรับอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิดังกล่าว คำนวณจากผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐานธุรกิจของ NTF ในการดำเนินธุรกิจส่งออกผลไม้เกรดพรีเมียม ได้แก่ ทุเรียน มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่น ๆ รวมถึงทุเรียนแกะเนื้อและทุเรียนแช่แข็งไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ ส่งผลทำให้ยอดขายมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง สะท้อนจากผลการดำเนินงานล่าสุดที่ NTF มีรายได้จากการขาย 9 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 2,107 ล้านบาท กำไรสุทธิ 203 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.6% ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมและกำไรสุทธิทั้งปีตั้งแต่ปี
อย่างไรก็ตาม 2565-2567 ที่มีรายได้จากการขายเท่ากับ 347 ล้านบาท 563 ล้านบาท และ 1,115 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิเท่ากับ 8 ล้านบาท 23 ล้านบาท และ 64 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ในปี 2568 ทั้งปี NTF มีเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ประมาณ 2,900 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อ ล่วงหน้าตามความต้องการผลไม้ไทยที่เพิ่มขึ้นในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ตลาดค้าขายผลไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
อีกทั้ง NTF มีกลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบคุณภาพ การยกระดับระบบคัดเกรด – บรรจุด้วยเทคโนโลยีรวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยมุ่งเน้นเจาะตลาดพรีเมียมมูลค่าสูงและความต้องการสม่ำเสมอ ทั้งยังบริหารความเสี่ยง
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยสัญญา FX Forward ครอบคลุม 100% ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพผลประกอบการในระยะยาว รวมทั้ง NTF ไม่มีการถือครองสินค้าคงคลัง ลดความเสี่ยงราคาผลไม้ผันผวน พร้อมนำระบบ Automation มาใช้ในกระบวนการคัดและบรรจุ ช่วยลดต้นทุนเพิ่มความแม่นยำ รองรับคำสั่งซื้อที่เติบโต ด้วย Business Model ที่บริหารแบบครบวงจร ทำให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา พร้อมรักษามาตรฐานสินค้าพรีเมี่ยมได้ PREMIUM ตามที่ตลาดต้องการอย่างเข้มงวด
การลงทุนในเทคโนโลยีอัตโนมัติของ NTF ได้แก่การลงทุนในเครื่องจักรคัดแยกเกรดและคุณภาพ, เครื่องจักรกระบวนการเป๋าแห้งทุเรียน และกระบวนการ คัดแยกน้ำหนักและบรรจุสินค้า จะเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ช่วยร่นลดระยะเวลาทำงานได้มากกว่า 50% อันจะส่งผลให้สามารถคัดบรรจุสินค้าได้เพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียสามารถ ยกระดับและควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอ และรองรับความต้องการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากตลาดประเทศจีนและตลาดพรีเมียมทั่วโลก
ตอกย้ำเป้าหมายการเติบโตอย่างมั่นคงนายวิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTF กล่าวว่า NTF มุ่งเน้นการส่งออกผลไม้คุณภาพ โดยมีรายได้หลักมาจากการจำหน่ายสินค้าในตลาดเกรดพรีเมียมเป็นหลัก เนื่องจากมีกำลังซื้อสูงและ ค่อนข้างเสถียรในทุกสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ รูปทรงสวย รสชาติ มากกว่าเรื่องราคา ส่งผลต่อมาร์จิ้นการขาย (กำไรขั้นต้น) ที่ดีกว่า โดยเฉพาะในประเทศจีนตลาดจำหน่ายผลไม้ขนาดใหญ่ที่มีความต้องการบริโภคผลไม้ไทยในระดับสูงและต่อเนื่อง
รวมถึงสินค้าของ NTF เป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมของผู้บริโภคในตลาดจีนที่ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองตำแหน่งสินค้า ส่งออกอันดับหนึ่ง และการส่งออกของ NTF กว่า 97% เป็นทุเรียนสด รองลงมา คือ มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่น ๆ รวมถึงทุเรียนแกะเนื้อและทุเรียนแช่แข็ง ในช่วง 9M2568 NTF มีสัดส่วนการส่งออกทุเรียนสดไปประเทศจีนประมาณ 11,320 ตัน คิดเป็นประมาณ 1.3% ของปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดของจีนจากประเทศไทยที่มีปริมาณประมาณ 900,000 ตัน ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด แสดงให้เห็น ถึงช่องทางในการขยายการส่งออกทุเรียนของไทยที่ยังมีอีกจำนวนมาก
ขณะที่สินค้าของ NTF ทำการตลาดภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ได้แก่ เหม่ย ลี่ (Mei Li), ไห่ จี๋ (Tai Ji), จิน เยี่ยน (Jin Yan), ไห่ ถึง ห่าว (Tai Ting Hao), โมมันไท่ (Mo Man Tai) และ มินิ (Mini) รวมทั้งมีแบรนด์ที่พัฒนาร่วมกับลูกค้า ได้แก่ ไห่ จี้ (Tai JI), จิน เยี่ยน (Uin Yan) และแบรนด์ลูกค้าที่เป็นแบรนด์ระดับโลก โดย NTF ส่งจำหน่ายสินค้าไปให้กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ผู้ค้าส่งผลไม้ในตลาดเจียชิง (Jiaxing Market)ตลาดเจียงหนาน (Jiangnan Fruit Market) และตลาดเจิ้งโจว (Zhengzhou) ตลาดขายส่งผลไม้สดที่มีปริมาณการซื้อชายเป็นอันดับต้นของประเทศจีน สามารถกระจายสินค้าของ NTF ได้ทั่วประเทศ และเริ่มขยายตลาดไปฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายฐานลูกค้า ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้าจีน และมีแผนที่ขยายไปยังกลุ่มลูกค้าจีนทางตอนบนของประเทศเพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของลูกค้าในเขตกรุง ปักกิ่ง ที่เป็นศูนย์กลางตลาดค้าผลไม้ของภาคเหนือด้วย
โดยทุกกระบวนการผลิตอยู่ภายใต้มาตรฐานการทำงาน “NTF Standard” หรือ “202T’ (Quality – Quantity – Time – Temperature) ที่สามารถนำใช้ได้ในทุกโรงคัดบรรจุ ที่จัดสรรสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในเรื่องปริมาณสินค้าและคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน ทุกโรงคัดบรรจุ โดย NTF มีพันธมิตรกว่า 10 โรงคัดบรรจุ พร้อมระบบ OC เข้มงวด ช่วยให้ NTF สามารถรักษามาตรฐานสินค้าในระดับพรีเมียมตามความต้องการของตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ
“ที่ผ่านมา NTF มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทำให้ยังไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ทันตามความต้องการของตลาด หากพิจารณาดู Cash Cycle ของ NTF ที่ประมาณ 41 วัน แสดงว่าสามารถเปลี่ยนเงินทุนหมุนเวียนเป็นยอดขายได้ 9 รอบต่อปี เงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ NTF เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินในการเพิ่มวงเงินให้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ทั้งหมด
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพด้านเงินทุน รวมถึงเปิดทางให้ NTF สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ยกระดับการผลิต และวางรากฐานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดย NTF วางแผนนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับระบบการผลิต ตั้งแต่ขั้นตอนคัดเกรดไปจนถึงการบรรจุผลไม้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาในการผลิตลงมากกว่า 50% และยกระดับความแม่นยำในการตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้ NTF สามารถเพิ่มปริมาณการผลิต รองรับความต้องการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และสร้างความสามารถในการเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่องในอนาคต” นายวิชัย กล่าว

