
ธปท. จับมือ ปปง. คุมเข้ม “บาทแข็ง” จับตาส่งออกทองกัมพูชา
ธปท. ยืนยันยังไม่พบสัญญาณเก็งกำไรค่าเงินบาท ชี้ดอลลาร์อ่อนเป็นปัจจัยหลักหนุนบาทแข็ง ควบคู่เร่งหารือ ปปง. ตรวจสอบปมส่งออกทองคำไปกัมพูชา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.68) นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ยังไม่พบสัญญาณการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ผิดปกติ
ทั้งนี้ ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ราว 80–90% มาจากแรงกดดันฝั่งดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ขณะที่ ธปท. ได้เข้าดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนเร็วและแรงเกินไป ทั้งในฝั่งแข็งค่าและอ่อนค่า โดยมีเป้าหมายเพื่อไม่ให้ค่าเงินไทยเคลื่อนไหวแตกต่างจากภูมิภาคมากเกินไป รวมถึงเพื่อโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ธปท. พยายามหารือกับผู้เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ค้าทองคำ และภาคส่วนอื่น ๆ เพราะต้องยอมรับว่า ราคาทองคำมีความเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมากขึ้นเฉลี่ยราว 0.7% ซึ่งสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา
นางสาวชญาวดี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ออกมาดีกว่าคาด และความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ ยังเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าภูมิภาค ขณะเดียวกัน ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์และเข้าไปดูแลค่าเงินอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ณ วันที่ 17 กันยายน พบว่า ตลาดพันธบัตรมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 534 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ตลาดหุ้นมียอดขายสุทธิราว 100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ตลาดพันธบัตรยังคงมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิรวม 1,200 ล้านดอลลาร์ แต่ตลาดหุ้นยังคงมีทิศทางไหลออกสุทธิ
นางสาวชญาวดี ยังกล่าวถึงประเด็นความกังวลต่อธุรกรรม Net Error and Omission (NEO) หรือข้อผิดพลาดและตกหล่นสุทธิ ว่าอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเกินจริง โดยย้ำว่า หากพิจารณาข้อมูลย้อนหลังในช่วง 10 ปี (พ.ศ.2557–2566) จะพบว่า มูลค่าธุรกรรม NEO ของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้ปานกลางในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ราว 1.5% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด และคาดว่าตัวเลขของไทยจะทยอยปรับลดลงต่อ หากมีการปรับข้อมูลจริงในเดือนกันยายนนี้
ขณะเดียวกัน กรณีการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่มีปริมาณสูงผิดปกติ ขณะนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
นางสาวชญาวดี กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขธุรกรรม Net Error and Omission (NEO) สูง เกิดจากข้อมูลการเคลื่อนย้ายเงินทุนบางประเภทที่ล่าช้า เช่น การส่งกำไรกลับต่างประเทศ ซึ่งยังไม่สามารถทราบตัวเลขที่แท้จริงได้ในทันที เนื่องจากต้องรอการรายงานงบการเงินจากบริษัท ทั้งรายไตรมาสหรือรายปี ทำให้ ธปท. จำเป็นต้องใช้วิธีประมาณการไปก่อน อย่างไรก็ดี หลังการทบทวนข้อมูลในเดือนกันยายนนี้ คาดว่าตัวเลข NEO จะปรับลดลง