“วิทัย” พร้อมลุย “Social AMC” แก้หนี้ – ยังไม่มีแนวคิดตั้ง “กองทุนมั่งคั่ง”

ผู้ว่าฯ "วิทัย" เผย ใกล้สรุปมาตรการซื้อหนี้ ต่ำกว่า 1 แสนบาท ผ่าน SAM คาดเริ่มดำเนินการต้นปี 69 พร้อมปัดแนวคิด ดึงทุนสำรองระหว่างประเทศ ตั้งกองทุนมั่งคั่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 ต.ค.68) นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Governor Connect ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งเป็นการพบกับสื่อมวลชนครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง

นายวิทัย กล่าวว่า การแก้หนี้ครัวเรือนผ่าน บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เป็นเรื่องที่หารือตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยจะใช้กลไกของ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ในการรับซื้อหนี้เสีย (NPL) ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในระบบ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้อย่างผ่อนปรนและให้ลูกหนี้สามารถปลดหนี้ได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง ธปท. กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย โดยอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอรัฐบาลภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2569

สำหรับเงินทุนที่จะใช้ในโครงการจะมาจาก กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งเหลือจากใช้ดำเนินโครงการ คุณสู้ เราช่วย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ SAM ซึ่งจะทำหน้าที่ในฐานะ “Social AMC” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยตัวเลขเงินที่ใช้อย่างแน่ชัดจะสรุปอีกครั้ง

ทั้งนี้ ธปท. จะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมของมาตรการ Social AMC หลังการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังภายในเดือนตุลาคมนี้

ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 4.5% โดย ธปท. จะดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินให้อยู่ในระดับเหมาะสม และพร้อมเข้าดูแลหากพบความผิดปกติในกระแสเงินทุน ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการซื้อขายทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ โดยเฉพาะการซื้อขายทองผ่านแอปพลิเคชันเป็นเงินบาท ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีแรงซื้อเงินบาทเพิ่มขึ้น

ส่วนแนวคิดการจัดตั้ง กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) นายวิทัย ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดในเรื่องดังกล่าว ธปท. มีการบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนสูง

สำหรับแนวทางการทำงานของ ธปท. และทิศทางนโยบายสำคัญในระยะต่อไป นายวิทัย ระบุว่า ธปท. จะดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระ ภายใต้กรอบกฎหมาย โดยมีหลายเรื่องที่ต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบาย ตลอดจนจะเน้นประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง (policy coordination) เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งเอื้อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จับต้องได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศ

ทิศทางนโยบายสำคัญของ ธปท. (policy priorities) ในระยะต่อไป ประกอบด้วย การสานต่อแนวนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ภาคการเงินพร้อมรองรับกับกระแสโลกใหม่ทั้งด้านดิจิทัลและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (financial landscape) ใหม่ เช่น โครงการ Your Data การพัฒนาระบบ digital payment ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยืดหยุ่น และสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจจริงเข้าถึงบริการทางการเงินครอบคลุมขึ้น รวมถึงการจัดตั้ง Virtual Bank

ทั้งนี้ การทำงานของ ธปท. จะใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังมุมมอง หรือข้อเรียกร้องจากสังคมให้รอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินนโยบายและสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น ตลอดจนจะมีแนวนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“เอกนิติ” เผย “คลัง-ธปท.” เตรียมใช้กองทุนฟื้นฟูไม่เกิน 1 หมื่นล้าน ซื้อหนี้ออกระบบแบงก์

“เอกนิติ” ชี้ผลสอบ “เงินปริศนา” ไหลเข้าไทย ยันทองคำไม่ใช่เหตุบาทแข็ง

“ศุภวุฒิ” จี้ปลดล็อกทุนสำรองล้น 9 ล้านลบ. เสนอดึง 3.3 ล้านลบ. ตั้งกองทุนมั่งคั่ง

Back to top button