“กรภัทร” มอง SET พักฐาน ลุ้นเจรจาภาษี-ThaiESGX ดันดัชนีฟื้น แนะลงทุน 3 หุ้นเด่น

นายกรภัทร วรเชษฐ์ มอง SET เคลื่อนไหวลักษณะพักฐาน ชี้ตลาดหุ้นอยู่ในโซนมูลค่าถูก หนุนเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า จับตาการเจรจาการค้า-ThaiESGX ช่วยดันดัชนีฟื้นตัว ให้กรอบแนวรับ 1,210 จุด แนวต้าน 1,235–1,254 จุด พร้อมแนะนำหุ้นเด่นน่าลงทุน GULF, AOT และ SCC


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าวันนี้ (8 ม.ค.68) แนวโน้ม SET Index เปิดตลาดด้วยทิศทางไม่ปรับตัวขึ้นแรงมาก และมีลักษณะของการ “พักตัว” ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก ทั้งนี้ ทิศทางของดัชนีมีลักษณะคล้ายช่วง การแพร่ระบาดของโควิด-19 ณ ตอนนั้น หากจำได้ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับสถานการณ์ Lock Down ส่งผลให้ดัชนีร่วงลงอย่างรุนแรงถึงระดับ 969 จุด หลังจากนั้นตลาดก็ฟื้นตัวอย่างแบบ V-shape

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับมาดูสถานการณ์ในปัจจุบัน ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า มาตรการทางภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อ SET Index มากที่สุด โดยในช่วงที่มีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ พบว่า SET Index ปรับตัวลงมาลักษณะระดับต่ำสุด (Bottom) โดยระดับดัชนี (Index Level) ในช่วงนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,050 จุด

ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ถือว่าอยู่ในภาวะ “Deep discount” ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับพื้นฐานที่แท้จริง เนื่องจากภาพรวมของผลประกอบการ (Earnings) ไม่ได้ชะลอตัวอย่างรุนแรงเหมือนช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์มองไปข้างหน้าระยะ 12 เดือน จะเห็นได้ชัดว่า SET Index ไม่น่าจะเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายแบบช่วง Lock Down

ส่วนปัจจัยที่จะช่วยให้ตลาดสามารถปรับตัวไปข้างหน้าได้ มาจาก 1.) การเจรจาการค้าของประเทศต่างๆ ในระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้า และ 2.เงินลงทุน Thai ESGX เดือน พ.ค.-มิ.ย.68 โดยวันนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมิน SET Index จะเคลื่อนไหวอยู่ที่แนวรับ 1,210 จุด แนวต้าน 1,235-1,254 จุด

“ผมประเมินว่าเม็ดเงินThai ESGX ที่จะไหลเข้ารอบนี้จะมากกว่ารอบ SSFX อย่างชัดเจนครับ เพราะมีแรงจูงใจมากกว่า จากวงเงินลงทุนสูงกว่า สามารถลดหย่นภาษีถึง 300,000 บาท และระยะเวลาการถือครองก็สั้นลง จากเดิม 10 ปี ในรอบนั้นเหลือแค่ 5 ปีใน ที่สำคัญจะเห็น Thai ESGX เข้ามาเป็นส่วนต่อเนื่องอีกยาวไปอีก 5 ปี ขณะที่รอบ SSFX ตอนนั้นมีแค่ก้อนเดียว และเป็นก้อนสุดท้ายเท่านั้น โยประเมินเม็ดเงินไหลเข้าอยู่ที่ 8,900-15,000 ล้านบาท” นายกรภัทร กล่าว

หากถามย้อนถึงปัจจัยที่ยังเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวขึ้นของ SET Index เมื่อวานนี้ 7 พ.ค. ฝ่านักวิเคราะห์มองว่าความถูกของตลาด คือ จุดที่เด่น ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา เริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) ตามดัชนี MSCI EM มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม (outperform) อย่างต่อเนื่อง แสดงได้ชัดเจนมากขึ้นจากการที่เม็ดเงินเริ่มไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะ ตลาดฮ่องกง (Hang Seng) และจีนก่อนเป็นลำดับแรก

นอกจากนี้ ผลประกอบการ (Earnings) ของตลาดหุ้นในเอเชียก็เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวและปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดังกล่าวมีจุดสะดุดในช่วงต้นเดือนเมษายน จากประเด็นความตึงเครียด (Reciprocal tariffs) ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวไม่กระทบต่อเทรนด์เม็ดเงินลงทุนไม่ได้เปลี่ยนแปลง

หนึ่งในกระแสเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นเม็ดเงินที่นักลงทุนเริ่มทยอย “ทริม” หรือปรับลดพอร์ตจากสินทรัพย์ที่ราคาสูง แล้วหันมามองหาโอกาสในตลาดที่ยังมีมูลค่าถูกกว่า โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในตลาดที่ยังอยู่ในโซนมูลค่าถูก อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า เม็ดเงินชุดแรกที่ไหลเข้านั้น ยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้นโดยตรง แต่ส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่พันธบัตร ทั้งนี้ ในท้ายที่สุดเงินดังกล่าวจะยังคงไหวเข้าหุ้นอยู่ดี

ส่วนของกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงแนะนำหุ้น Top Pick อาทิ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดยได้รับแรงหนุนจากแผนการลงทุนในธุรกิจ Data Center ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกระยะยาว นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

รวมถึงกลุ่มหุ้นในธีม China Play” เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ซึ่งธุรกิจปิโตรเคมี โดยเฉพาะในสายโพลิเมอร์ ขณะนี้เริ่มเห็นสเปรด (Spread) ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ล่าสุดราคาสเปรดอยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีของปีที่ผ่านมา

Back to top button