
KLINIQ ติดยศสนามใหญ่
คงต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ว่า วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นี้ เป็นวันสำคัญของหุ้นศัลยกรรมความงาม บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ นะจิบอกให้...
คงต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ว่า วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นี้ เป็นวันสำคัญของหุ้นศัลยกรรมความงาม บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ นะจิบอกให้…ซึ่งมีสองวาระสำคัญด้วยกัน วาระแรกจะเป็นวันฉลองครบรอบ 3 ปีของการเข้าเทรดในตลาด mai ด้วยไอพีโอ 24.50 บาท ขณะเดียวกัน เป็นวันดีเดย์ในการย้ายเทรดจากตลาด mai ไปสู่ตลาด SET ด้วยเช่นกัน…!!
ให้เปรียบก็เหมือนนักมวยที่เคยชกบนเวทีสยามอ้อมน้อย…แล้ววันนี้ขยับไปชกบนเวทีลุมพีนีนั่นแหละ..!! ฟิลเดียวกันเดะ…
ก็ถือเป็นสตอรี่เชิงบวกของ KLINIQ ซึ่งคงใช้โอกาสนี้เปิดแชมเปญฉลองสองงานไปพร้อมกัน…
จะว่าไปตั้งแต่ KLINIQ เข้าตลาดฯ มา ในแง่ปัจจัยพื้นฐานมีพัฒนาการต่อเนื่อง จากเมื่อหลายปีก่อนมีรายได้แค่หลักร้อยล้านบาท ปัจจุบันปรับเพิ่มเป็นหลักพันล้านบาท อย่างปีที่แล้วรายได้รวมทะลุ 3,000 ล้านบาทไปแล้ว ส่วนกำไรก็เติบโตต่อเนื่อง จากร้อยล้านบาทต้น ๆ เดี๋ยวนี้ปาไป 300 ล้านบาทแล้ว
โดยงบในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 1,674.81 ล้านบาท กำไรสุทธิ 174.06 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลงานที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนนะ…
ทำให้พออนุมานได้ว่าปิดงบงวดปีนี้ ก็น่าจะแจ่มอยู่หนา…
ขณะที่ KLINIQ มีเป้าหมายที่ต้องพุ่งชน ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2569-2571) ตั้งเป้ามีสาขาครบ 100 สาขารวมทุกแบรนด์ และรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15% หรือมีรายได้รวมมากกว่า 5,000 ล้านบาท…
อย่างนี้ต้องยกให้เป็นหุ้น Super Growth Stock แล้วล่ะ…
แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามเห็นจะเป็นราคาหุ้นนี่แหละ…แทนที่จะปรับเพิ่มขึ้นล้อไปกับรายได้และกำไรที่เติบโตทุกปี กลับสาละวันเตี้ยลงซะงั้น…
โดยในช่วง 2 ปีแรก ก็ทำได้ดีนะ ราคาเคยทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 47.25 บาท เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 แต่หลังจากนั้นมาราคาปรับลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ปิดงวดสิ้นปีที่ 42 บาท มีมาร์เก็ตแคป 9,240 ล้านบาท พอปีถัดมา 2567 ปิดงวดสิ้นปีที่ 32.50 บาท มาร์เก็ตแคปลดเหลือแค่ 7,150 ล้านบาท ล่าสุดซื้อขายกันที่ 25.25 บาท
ขณะเดียวกัน ก็ทำให้อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนของ KLINIQ พุ่งสูงปรี๊ดดด จากที่เคยมีดิวิเดนด์ยีลด์แค่ 1% เศษ ๆ มาวันนี้ปาไป 5.71% แล้ว
เอ๊ะ…ที่เห็นราคาหุ้นสาละวันเตี้ยลงนั้น ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงหรือเปล่า..?? ซึ่งสะท้อนได้จากอัตรากำไรสุทธิที่ลดลง…จากปีแรก ๆ เคยอยู่ที่ 12-13% ปัจจุบันลดเหลือ 10% ซึ่งไม่รู้ว่าปิดงวดสิ้นปีนี้และปีหน้าอัตรากำไรสุทธิจะลดลงต่ำ 10% หรือเปล่า..?? เป็นช็อตที่ต้องจับตากันต่อไป
แต่เชื่อว่า KLINIQ คงหาวีธีแก้โจทย์นี้ได้แหละ..??
ที่น่าเสียดาย แม้ KLINIQ เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเริ่ดสแมนแตนแค่ไหน..?? แต่ด้วยเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ฯ การเทรดอยู่ในตลาด mai ทำให้เล็กเกินไปที่นักลงทุนสถาบัน และกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเข้าไปลงทุน…จึงทำได้แค่มอง ไม่สามารถเข้าลงทุนได้
ดังนั้น การอัพเกรดจากตลาด mai ไปสู่ SET นั้น จะทำให้หุ้น KLINIQ ไปอยู่ในตะกร้าของนักลงทุนสถาบันและกองทุน…ไม่ใช่ของต้องห้ามอีกต่อไปแล้ว ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ดูดีขึ้น…
ส่วนจะเป็นของที่ต้องมีเลยอ๊ะป่าว..?? ไม่รู้ ๆ ๆ
แต่อย่างน้อยน่าจะช่วยหยุดภาวะการไหลลงของราคาหุ้น KLINIQ ได้บ้าง…หรือดีไม่ดีอาจกลับมาวิ่งปรู๊ดปร๊าดอีกครั้งก็ได้นะ…
แต่ถ้าถามว่าจะวิ่งกี่โมง..?? ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต…
…อิ อิ อิ…