
TFG-GFPT วิ่งคึก! ส่งซิกกำไร Q4 โตไม่หยุด รับดีมานด์บริโภคหมู-ไก่พุ่ง
TFG-GFPT กอดคอวิ่ง! TFG ส่งซิกไตรมาส 4/68 โตไม่หยุด รับแผนขยายร้านค้าปลีก "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" เพิ่มอีก 120 สาขา หนุนสิ้นปีครบ 615 สาขา รับดีมานด์บริโภคหมู-ไก่พุ่ง ดันรายได้ปีนี้โต 13-15% ฟาก GFPT ลั่นไตรมาส 4/68 รายได้เพิ่มขึ้น รับกำลังการผลิตไก่แปรรูปฟื้นกลับระดับ 90-95%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19พ.ย.68)ราคาหุ้นบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ณ เวลา 10:07 น. อยู่ที่ระดับ 4.74 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 3.49% ราคาสูงสุด 4.74 บาท ราคาต่าสุด 4.74 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.69 ล้านบาท
บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT ณ เวลา 10:14 น. อยู่ที่ระดับ 10.30 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.98% ราคาสูงสุด 10.30 บาท ราคาต่าสุด 10.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 0.08 ล้านบาท
นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2568 ที่มีกำไรสุทธิ 1,704.09 ล้านบาท และมีรายได้รวม 18,378.31 ล้านบาท หนุนผลการดำเนินงานปี 2568 เติบโตทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ต่อเนื่อง
โดยทิศทางของธุรกิจค้าปลีกในไตรมาสนี้ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2568 ที่ผ่านมา และเชื่อว่าในปี 2569 น่าจะสามารถรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ได้ ดังนั้น ในปี 2568 บริษัทจึงคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตได้ 13-15% จากปีก่อน และในปี 2569 รายได้จะสามารถเติบโตที่ระดับ 10% หรือจะอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์หลักยังคงเป็น 1.การขยายร้านค้าปลีก, 2.เพิ่มรายได้ต่อร้าน, 3.เพิ่มปริมาณสุกรที่ขายในเวียดนาม และ 4.การเติบโตของการส่งออกไก่
สำหรับการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2568 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาร้านค้าปลีก “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” (Retail Shop) ซึ่งเป็นเรือธง (Flagship) สำคัญที่สนับสนุนให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้รวม 615 สาขา เพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภค ทั้งยังเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับบริษัท
“ในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาร้านค้าปลีก ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต ซึ่งถือเป็น Flagship สำคัญในการสร้างรายได้และเพิ่มอัตรากำไรให้กับธุรกิจ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขารวม 615 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกที่ทำ All Time High ทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” นายเพชร กล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/2568 บริษัทมีแผนขยายร้าน “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” เพิ่มอีก 120 สาขา และคาดว่าภายในสิ้นปี 2568 จะสามารถมีสาขารวมได้ที่ 615 สาขา และในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 850 สาขา ซึ่งปัจจุบันมีการวางแผนและหาพื้นที่สำหรับการขยายสาขารองรับแล้ว 720 สาขา ทั้งนี้ การขยายร้าน “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” มีผลต่อทั้งรายได้และกำไรของบริษัทอย่างมีนัย โดยปัจจุบัน TFG มีรายได้จากร้าค้าปลีกประมาณ 37-38% ของรายได้รวม และเชื่อว่าในปี 2569 สัดส่วนรายได้ดังกล่าว จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 40% ซึ่งจะทำให้อัตราการทำกำไรมีความผันผวนลดลง
นายเพชร กล่าวอีกว่า ร้านค้าปลีก “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” จะเป็น Flagship และเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัท ซึ่งบริษัทมีความคาดหวังว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนธุรกิจของ TFG จากการหวังพึ่งการผลิตที่มีต้นทุนต่ำเป็นหลัก เพื่อจะกระจายสินค้าออกสู่ตลาด เป็นการการมีตลาดที่ใหญ่กว่ากว่าการผลิตของตัวเองเสมอ ซึ่งจะทำให้ทั้งในแง่ของปริมาณ อัตราการเติบโต และมาร์จิ้นเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 มีมติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2568 (1 ม.ค.-30 ก.ย. 2568) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ หากรวมการจ่ายปันผลระหว่างกาลในรอบปีนี้ทั้งหมด 0.40 บาทต่อหุ้น (มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจำนวน 3 ครั้ง) อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทมองว่าก็มีความเป็นไปได้ที่จะจ่ายปันผลทุกไตรมาสหลังจากนี้
นายวีระ ธิตยางกรุวงศ์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 บริษัทเชื่อว่ารายได้น่าจะดีขึ้นจากไตรมาส 3/2568 ที่มีรายได้จากการขายรวม 4,740.59 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์ขาดแคลนแรงงานคลี่คลาย และเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้ภาพรวมของกำลังการผลิตไก่แปรรูปปรับตัวกลับมาใกล้เคียงระดับปกติที่ 90-95% นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2568 ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการจากภาครัฐ อย่างโครงการ คนละครึ่ง พลัส ซึ่งช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ชัดเจน ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา GFPT มีแรงงานกลุ่มชาวกัมพูชาประมาณ 20% หรือประมาณ 1,000 คน และในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 แรงงานกลุ่มดังกล่าวได้ลาออกจำนวนมาก ทำให้กำลังการผลิตสินค้าในกลุ่มไก่แปรรูปลดลง แต่บริษัทได้ปรับตัวรับแรงงานพม่าและแรงงานไทยเข้ามาเพิ่ม ทำให้สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานคลี่คลายลง และเชื่อว่าในไตรมาส 4/2568 ปัญหาแรงงานจะหมดลง
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทเชื่อว่ารายได้น่าจะทรงตัวจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 19,656.47 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง จากผลกระทบปัญหาแรงงานชาวกัมพูชาที่มีการลาออกไปจำนวนมากในช่วงไตรมาส 3/2568 ส่งผลทำให้กำลังการผลิตไก่แปรรูปในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมาลดลง
ขณะเดียวกันในปี 2568 บริษัทมีนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 16.5-17.5% ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นแล้วที่ระดับ 17% ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการขาย และบริหาร (SG&A) บริษัทจะควบคุมให้อยู่ในระดับ 7-7.5% ของยอดขาย ส่วนต้นทุนทางการเงินจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำที่ 1.5-2.5% เช่นเดียวกันอัตราภาษี (Effective Tax Rate) ค่อนข้างต่ำที่ระดับ 10-15%
“เศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี อยู่ในภาวะถดถอย คนตกงานมากขึ้น ถูกลดเงินเดือนลง ทำให้มีความระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งหากเทียบไตรมาสก่อนก็อาจจะเห็นว่ากำลังซื้อไม่ได้ดีนัก แม้จะมีการกระตุ้นจากทางภาครัฐ แต่สินค้าไก่ของเรามีข้อดี คือราคาขายจะถูกกว่าเนื้อสัตว์หลาย ๆ ประเภท เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว อีกทั้ง เนื้อไก่เป็นสินค้าที่มีโปรตีนสูงและมีไขมันต่ำด้วย จึงถือว่าเป็นสินค้าที่ค่อนข้างเหมาะกับเศรษฐกิจแบบนี้” นายวีระ กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิ 715.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.04% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 541.80 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 4,740.59 ล้านบาท ลดลง 6.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 5,050.62 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,995.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,590.82 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 14,270.90 ล้านบาท ลดลง 1.01% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จาการขายรวม 14,416.07 ล้านบาท
โดยรายได้ที่ลดลง มีสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายอาหารปลาลดลง และราคาขายอาหารสัตว์บกลดลง ขณะเดียวกันในไตรมาส 3/2568 บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาแรงงานขาดแขลน ทำให้กำลังการผลิตไก่แปรรูปลดลง ส่งผลให้รายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มได้แปรรูปลดลงด้วย
ด้านกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น มีสาเหตุหลักจากการที่กลุ่มบริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง ได้แก่ กากถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี และปลาป่น ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17.04% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 14.17%
นายวีระ กล่าวอีกว่า ในปี 2569 บริษัทจะยังคงเน้นการเติบโตจากธุรกิจเดิมเป็นหลักก่อน และบริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้วางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับขยายฟาร์มเลี้ยง และสร้างโรงเชือด เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TFG โดยได้ปรับราคาเป้าหมายไปใช้ปี 2569 ที่ 6.30 บาท อิง PBV ที่ 1.5 เท่า ราคาหุ้นปัจบันยังคิดเป็น Forward PER ปี 2569 เพียง 4.4 เท่า นอกจากนี้ TFG ยังประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลอีก 0.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะขึ้น XD ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ราว 2.1% เพิ่มเติมจากการจ่ายปันผลระหว่างกาลรอบก่อนเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ทำให้ Upside ยังน่าสนใจ
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดไตรมาส 4/2568 อาจเห็นการฟื้นตัว โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 4/2568 จะกลับมาเติบโตไตได้จากทั้งจากไตรมาสก่อน และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังในช่วงเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ราคาหมูหน้าฟาร์มลงไปอยู่ต่ำสุดที่ 53.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ภายหลังเทศกาลกินเจและสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้มีมาตรการหลายด้านเพื่อพยุงราคา ทำให้ราคาหมุหน้าฟาร์มในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ราว 63-64 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่ต้นทุนวัตถุติบอาหารสัตว์ยังมีแนวโน้มปรับตัวลงตามฤดูเก็บเกี่ยว และบริษัทยังมีการขยายสาขาร้านค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 คิดเป็นราว 86% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2568 ที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ที่ 7,269 ล้านบาท เติบโต 131% จากปีก่อน
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น GFPT ราคาเป้าหมาย 13.40 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบนอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/ER) ปี 2569 เพียง 4.7 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฟาร์มสัตว์อย่างมีนัยสำคัญ และมองว่ายังไม่สะท้อนผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่เด่น ทั้งนี้ GFPT รายงานกำไรปกติไตรมาส 3/2568 ที่ 710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) และสูงกว่าที่คาดไว้ 7% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าคาด
ขณะที่แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/2568 เบื้องต้นคาดทรงตัวตึงถึงเร่งตัวขึ้นต่อจากไตรมาสก่อน จากการรับรู้คำสั่งซื้อส่งออกที่ถูกเลื่อนมาจากไตรมาส 3/2568 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นปัจจัยหนุน ขณะที่ด้านต้นทุนยังปรับลดลงจากไตรมาสก่อนต่อ หนุนอัตรากำไรกำไรขั้นต้น นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังได้คาดกำไรปกติปี 2569 ที่ 2,705 ล้านบาท ทรงตัวจากปี 2568 จากฐานที่สูง และยังไม่รวม Upside จากการเริ่มรับรู้กำลังการผลิตของโรงเชือดใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น 50% ที่คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2569

