พาราสาวะถี

สถานการณ์ทางการเมืองว่าด้วยม็อบทวีความรุนแรงและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เป็นธรรมดาของฝ่ายกุมอำนาจโดยเฉพาะอำนาจสืบทอดที่ศรัทธาไม่มีเหลือ ความเชื่อมั่นหมดไปแล้ว จึงต้องทำทุกวิถีทางในการที่จะสกัดกั้นกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านและเรียกร้องให้ลาออก ส่วนการปฏิบัติงานของตำรวจเรื่องการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการที่อ้างว่ายึดหลักสากลนั้น ตลอดกว่า 7 ปีที่ผ่านมาภาพเด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า ก้มหน้ารับใช้อำนาจเผด็จการอย่างเต็มที่ ไม่สนใจวิธีที่ใช้ว่าจะเป็นอย่างไร


สถานการณ์ทางการเมืองว่าด้วยม็อบทวีความรุนแรงและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เป็นธรรมดาของฝ่ายกุมอำนาจโดยเฉพาะอำนาจสืบทอดที่ศรัทธาไม่มีเหลือ ความเชื่อมั่นหมดไปแล้ว จึงต้องทำทุกวิถีทางในการที่จะสกัดกั้นกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านและเรียกร้องให้ลาออก ส่วนการปฏิบัติงานของตำรวจเรื่องการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการที่อ้างว่ายึดหลักสากลนั้น ตลอดกว่า 7 ปีที่ผ่านมาภาพเด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า ก้มหน้ารับใช้อำนาจเผด็จการอย่างเต็มที่ ไม่สนใจวิธีที่ใช้ว่าจะเป็นอย่างไร

ไม่ต้องพูดถึงคำอธิบาย ไม่มีอะไรในประเทศนี้ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้อยู่แล้ว ดูจากข้อหาที่บรรดาผู้ชุมนุมถูกจับกุมแต่ละครั้งยาวเป็นหางว่าว แต่เหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวสั่นคลอนหรือล่าถอยแต่อย่างใด ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเช่นนี้ กับจำนวนคนที่เข้าร่วมชุมนุม หากเป็นผู้ปกครองที่ยอมรับความเป็นจริงย่อมมองเห็นว่า นี่เป็นเสียงของประชาชนผู้เดือดร้อน โดยเฉพาะเนื้อหาสาระที่เรียกร้องไม่ใช่แค่ประเด็นทางการเมืองเหมือนก่อนหน้า

ไม่ใช่การขับไล่เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแง่ตัวบุคคลและคณะที่มาจากการสืบทอดอำนาจ เพราะจุดนั้นมันได้ข้ามพ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่คนออกมาชุมนุมเวลานี้มันคือการประจานความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาลสืบทอดอำนาจโดยเฉพาะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ตัวอย่างอันชัดเจนยิ่งคือวัคซีนป้องกันโควิด-19 แทบไม่ต้องสาธยายใด ๆ การขาดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกคือความล้มเหลวในการบริหารจัดการอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ที่แทบจะเป็นม็อบรายวันกันแล้วนั้น ความน่าสนใจอยู่ที่การนัดหมายจัดกิจกรรม CAR PARK ของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตเลขาธิการนปช. แกนนำคนเสื้อแดงคนสำคัญ ที่หลังจากปล่อยให้คนเคยสนิทอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ จัดเวทีไทยไม่ทนล่วงหน้าไปก่อนเป็นระยะเวลานานพอสมควร เสี่ยเต้นก็ได้เวลาขยับออกจากฐานที่มั่น นั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่งคือต้องการให้คดีความที่ตัวเองได้รับการพักโทษก่อนหน้าจบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อน

หลังจากการออกมาร่วมคาร์ม็อบในขบวนของ สมบัติ บุญงามอนงค์ ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่สุดณัฐวุฒิได้ฤกษ์ประเดิมเป็นแกนหลักจัดม็อบไล่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ โดยวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคมนี้ จะเป็นการนับหนึ่งของขบวนการไล่อ.ห.ต. ซึ่งมีการประชาสัมพันธ์ไว้ว่า จะเป็นการยกระดับการปราศรัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย เคลื่อนขบวน หยุดขบวน และแสดงพลังเป็นหนึ่งเดียว เสียงไล่ประยุทธ์จะเลื่อนลั่นสะท้านแผ่นดิน สันติวิธี สีสันฉูดฉาด สาระบาดหัวใจ ประสานพลังไปกับนักสู้รุ่นใหม่

ในกรณีของคนรุ่นใหม่นั้น ณัฐวุฒิมองว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นรูปธรรม ซึ่งไม่มีใครจินตนาการได้ว่าจะเกิดขึ้นได้ คนหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาออกมายืนอยู่หัวขบวน และก็ยังคงสู้อย่างมุ่งมั่นจนถึงปัจจุบัน ในฐานะอดีตแกนนำคนเสื้อแดงเจ้าตัวชี้ให้เห็น มันพิสูจน์แล้วว่าการฆ่าในปี 2553 แก้ไขปัญหาไม่ได้ การไล่จับไล่เฆี่ยนตลอดเวลาหลังจากนั้น มันไม่ได้ทำให้เรื่องจบ แต่กลับทำให้เรื่องราวมันขยายใหญ่ขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น และมีความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ยิ่งขึ้น

แต่หากมองไปยังกระบวนการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมของรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็จะเห็นได้ว่า มุ่งไปที่การอ้างกฎหมายพิเศษและยกเอาสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 มาบังหน้า แล้วเลือกที่จะใช้วิธีการสลายการชุมนุมที่รุนแรง ด้วยเหตุผลอันสุดคลาสสิคเจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย ผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมด้วยความสงบ ซึ่งวิธีนี้มันได้ใจกองเชียร์ที่ไม่ลืมหูลืมตา ทว่าสำหรับคนทั่วไปที่ยังมีสำเหนียกแห่งความผิดชอบชั่วดีย่อมรู้ว่า สิ่งที่ทำกันไปนั้นมันถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่

ด้วยวิธีการเช่นนี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าปลายทางของสถานการณ์จากการชุมนุมสุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดความสูญเสีย ที่อาจจะเกิดการใช้ความรุนแรงปราบปราม ในประเด็นนี้ณัฐวุฒิก็ยืนยันว่า จะเรียกร้องและใช้ความพยายามอย่างที่สุดไม่ให้มันเกิดขึ้น “ไม่ใช่ว่ากล้าหรือไม่กล้า ไม่ใช่ว่าใจถึงหรือใจไม่ถึง” แต่เป็นเรื่องที่ตนเคยประสบพบมา เห็นว่าความอำมหิตของฝ่ายผู้มีอำนาจ มันเกินกว่าที่เราจินตนาการ และไม่มีความสูญเสียของประชาชนที่จะส่งผลกระทบต่อหัวใจของคนเหล่านั้น

มันย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะการตายของประชาชนมือเปล่าเมื่อปี 2553 เกือบร้อยชีวิตไม่ได้ทำให้พวกจิตใจอำมหิตคิดได้ ดังนั้น ฝ่ายประชาชนต้องเคลื่อนไหวด้วยความรอบคอบรัดกุมระมัดระวัง แน่นอนว่า ไม่ใช่เฉพาะณัฐวุฒิเท่านั้นที่มองเห็น นักสันติวิธีจำนวนไม่น้อยก็เรียกร้องไปยังฝ่ายกุมอำนาจว่า ต้องไม่มองคนหนุ่มสาวที่ออกมาเคลื่อนไหวด้วยสายตาของรัฐ ไม่มองด้วยสายตาของคนถือกฎหมาย ถือกระบอกปืน แต่ต้องมองด้วยสายตาของคนเป็นพ่อแม่ ของคนเป็นผู้ใหญ่

เป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วถ้าไม่โกหกตัวเอง สิ่งที่คนรุ่นใหม่เคลื่อนไหวกันอยู่เวลานี้ ไม่ใช่ความผิดของลูกหลาน ที่พวกเขาจะลุกขึ้นปฏิเสธสังคมที่ถูกทำให้บิดเบี้ยวมากว่า 10 ปี ไม่ใช่ความผิดของลูกหลานที่พวกเขาจะเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่า เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้มันไม่มีอนาคตสำหรับคนรุ่นเขา แต่คำถามที่สำคัญคือ จะส่งสัญญาณให้คนส่วนใหญ่ในประเทศได้รับรู้และเข้าใจต่อสิ่งนี้ได้อย่างไร ให้มั่นใจว่ามันทำได้ ไม่ได้เป็นการทำลายชาติ ทำลายสังคม และมันปลอดภัย

ไม่ว่าคาร์ม็อบของณัฐวุฒิจะเดินไปในทิศทางใด แต่การเคลื่อนไหวหนนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง เพราะเจ้าตัวประกาศแล้วว่าไม่ได้ทำในนามนปช. ไม่ใช่ในนามส่วนตัว ขบวนการนี้ยิ่งเดินไปตัวเองต้องยิ่งตัวเล็กลง ตนจะพยายามประสานเชื่อมต่อให้การขยับตัวในรอบต่อไปทำได้พร้อมกันทั้งประเทศทุกจังหวัด ให้สามารถที่จะได้เห็นพลังของประชาชน กำหนดข้อเรียกร้องส่งตรงถึงอำนาจรัฐ ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องตัดสินใจ

แต่ความน่าสนใจต่อการทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองรอบนี้มันไม่ง่ายเหมือนการสร้างวิกฤติเทียมที่ผ่านมา เพราะไม่ใช่แค่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่หน้าทนอยู่ในตำแหน่ง หากแต่ยังมีเครือข่ายที่โอบอุ้ม ไม่ว่าจะเป็นองค์กร กลุ่มอิทธิพล หรือภาคธุรกิจ ภาคทุนใด ๆ ก็ตาม การที่อยู่ในอำนาจแต่โชว์ความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลังพิงเป็นกลุ่มอำนาจนอกระบบ กลุ่มเครือข่ายอำนาจพิเศษใด ๆ ก็ตาม กลุ่มเคลื่อนไหวทั้งหลายจะต้องทำให้เกิดการสั่นสะเทือนให้ได้ถ้าหวังชัยชนะ

Back to top button