หุ้นปีนี้ไปต่อได้

แม้ว่าจะมีการระบาดของโควิดระลอกแล้วระลอกเล่า แต่ตลาดหุ้นต่างประเทศก็ถือว่าฝ่าฟันวิกฤติสุขภาพและวิกฤติอื่น ๆ มาได้ค่อนข้างดีในปีที่ผ่านมา


แม้ว่าจะมีการระบาดของโควิดระลอกแล้วระลอกเล่า และไวรัสโคโรนากลายพันธุ์จนมีสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดปีจนนาทีสุดท้ายของปี 2564 แต่ตลาดหุ้นต่างประเทศก็ถือว่าฝ่าฟันวิกฤติสุขภาพและวิกฤติอื่น ๆ ที่เป็นผลพวงต่อเนื่องกันมาได้ค่อนข้างดีในปีที่ผ่านมา คำถามคือแล้วปีนี้มันจะดีเหมือนเก่าหรือไม่ ?

เท่าที่ดูความเห็นนักวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ในวอลสตรีทส่วนหนึ่ง ยังคงเชื่อมั่นว่าหุ้นจะไปต่อได้ แต่ลดการคาดหวังที่จะดีดตัวเป็นเลขสองหลักเหมือนปีก่อน และบางคนยังมีโทนเสียงระมัดระวังอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นตรงกันคือ ตลาดหุ้นจะ “ผันผวน” มากขึ้นในปีนี้ เนื่องจาก ธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางทั่วโลกจะลดโครงการซื้อพันธบัตรและเริ่มวงจรขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งหากมีการเข้มงวดนโยบายจริงตามที่ส่งสัญญาณ จะส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก

เครดิตสวิส ถึงกับปรับเป้าหมายดัชนีเอสแอนด์พี 500 จาก ระดับ 5,000 จุด เป็น 5,200 จุดและยังคาดว่าดัชนีจะดีดตัวเป็นเลขสองหลักอีกปี และเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นของบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500ในปีนี้เป็น 235 ดอลลาร์ จากเดิมคาดไว้ 230 ดอลลาร์ แต่มุมมองบวกนี้เป็นไปตามคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่งจริง ๆ และคาดว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่ขึ้นภาษีนิติบุคคล

หากเศรษฐกิจดีจริงในปีนี้ เครดิตสวิสจะให้น้ำหนักในการลงทุนมากแก่หุ้นที่เกี่ยวกับวงจรเศรษฐกิจ เช่น พลังงาน วัสดุ อุตสาหกรรม หุ้นสินค้าฟุ่มเฟือย เทคโนโลยี บริการอินเทอร์เน็ต และบริษัทค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต แต่จะลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสุขภาพและการเงินหากแนวโน้มการเติบโตในปีนี้ลดลง

เจพีมอร์แกน ก็เชื่อว่า ปีนี้จะเป็นปีที่แข็งแกร่งสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับวงจรเศรษฐกิจ แม้ว่าหุ้นจะไม่ดีดตัวแข็งแกร่งเหมือนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ตาม เจพีฯ ก็ยังคาดการณ์ว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะแตะระดับ 5,050 จุด และมองว่าหุ้นในตลาดต่างประเทศ ตลาดเกิดใหม่และภาคตลาดที่ขึ้นอยู่กับวงจรเศรษฐกิจ จะดีกว่า ตลาดสหรัฐฯ และให้ผลตอบแทนสูงกว่า 2-3 เท่า

เหตุผลที่คาดการณ์เช่นนั้นคือ ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเล็กน้อย น่าจะเป็นอุปสรรคสำหรับตลาดที่ปรับตัวสูงมากอย่างแนสแดก แต่สำหรับการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ให้เน้นหุ้นที่เกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจใหม่และเงินเฟ้อ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จาการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร โดยคาดว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะเพิ่มเป็น 2.25% ภายในสิ้นปีนี้

อย่างไรก็ดี เจพีมอร์แกนก็คาดการณ์ถึงความเสี่ยงในปีนี้ไว้เช่นกัน โดยชี้ว่า เมื่อการฟื้นตัวเกิดขึ้น ตลาดจะเริ่มปรับตัวเข้ากับภาวะนโยบายเงินที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่น่าจะทำให้เกิดความผันผวน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่นักลงทุนจะต้องติดตามและจัดการในปีนี้ เช่น ความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและเอเชีย (โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยูเครนและอิหร่าน) วิกฤติพลังงานที่กำลังตั้งเค้า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการปรับนโยบายเงินสู่ภาวะปกติ

โกลด์แมนแซคส์ ก็คาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงคึกคักต่อไป ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะปิดที่ระดับ 5,100 จุดภายในสิ้นปีนี้ โดยผลกำไรของบริษัทจะเป็นแรงผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะโต 8% เป็น 226 ดอลลาร์ ในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 4% เป็น 236 ดอลลาร์ในปี 2566

ตามความเห็นของโกลด์แมน แซคส์ บริษัทต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะมีกำไรขั้นต้นเพิ่มต่อไปแม้ว่า ยังคงมีแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตและความท้าทายด้านซัพพลายเชน แต่ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีต้นทุนแรงงานสูง และชอบหุ้นเติบโตที่มีกำไรสูง มากกว่าหุ้นเติบโตแต่กำไรต่ำหรือไม่สามารถทำกำไรได้

แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจะมีความแข็งแกร่งต่อในปีนี้ แต่โกลด์แมนแซคส์กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงภาวะแวดล้อมการลงทุนในปีหน้า และกดดันต่อการประเมินมูลค่า นั่นคือ ธนาคารกลางสหัฐจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้น ทำให้เพดานการประเมินมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า และผลักดันให้เกิดการหมุนเวียนภายในตลาดหุ้น

อย่างไรก็ดี มอร์แกน สแตนลีย์ กลับมองว่า หุ้นจะร่วงในปีนี้ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะลงไปอยู่ที่ระดับ 4,400 จุด โดยมีแรงฉุดหลายอย่าง เช่น ภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะกดดันต่อการประเมินมูลค่าเนื่องจากการเติบโตของรายได้จะลดลง

มอร์แกน สแตนลีย์ ย้ำว่า จะมีการหดตัวหลายครั้งท่ามกลางการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในวงจรกลางอย่างต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น และมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและรายได้มากขึ้น แต่เนื่องจากดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นในปีนี้ หุ้นธนาคารอาจได้รับประโยชน์และดีกว่าหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ คาดว่า การหมกมุ่นอยู่กับหุ้นคุณค่ากับการเติบโตจะเริ่มลดลงเนื่องจากความเสี่ยงที่มีลักษณะเฉพาะจะกลายเป็นกุญแจสำคัญ โดยมอร์แกนสแตนลีย์ มีอคติเล็กน้อยต่อหุ้นคุณค่า เนื่องจากดอกเบี้ยและเงินเฟ้อน่าจะสูงขึ้นจนถึงสิ้นปี

แม้มองว่าหุ้นจะร่วงแต่มอร์แกน สแตนลีย์ ก็คาดการณ์กำไรต่อหุ้นสอดคล้องกับธนาคารอื่น ๆ โดยคาดว่าบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะมีกำไรต่อหุ้นที่ 245 ดอลลาร์ และชี้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในปีนี้ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหุ้นรายตัว มากกว่ารายภาค

โดยสรุปแล้ว แรงส่งของตลาดหุ้นในปีที่แล้ว น่าจะต่อเนื่องมาถึงปีนี้ได้ แต่อาจจะไม่แรงเท่าปีก่อน และทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจ และการระบาดของโควิดเป็นสำคัญ และข้อมูลแรกที่จะออกมาให้นักลงทุนและธนาคารกลางสหรัฐได้จับตาและพิจารณาในสัปดาห์แรกของปีนี้ คือ รายงานการประชุมของเฟดในเดือนธันวาคม ในคืนวันนี้ และรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ แต่เมื่อดูจากการซื้อขายของตลาดใหญ่ ๆ ทั่วโลกในวันแรกของปีนี้ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ชี้ว่า นักลงทุนเต็มใจดันให้หุ้นทะยานต่อ

Back to top button