PDI โตมั่งคั่ง

มีเสียงจากผู้บริหาร PDI ว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 2560 จะมีโอกาสโตสูงสุดในรอบ 10 ปี และสูงสุดเป็นอันดับสองในรอบ 33 ปีของบริษัทเลยทีเดียว


คุณค่าบริษัท

มีเสียงจากผู้บริหาร บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI ว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 2560 จะมีโอกาสโตสูงสุดในรอบ 10 ปี และสูงสุดเป็นอันดับสองในรอบ 33 ปีของบริษัทเลยทีเดียว

โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้ดีนั้น มาจากราคาโลหะสังกะสีโลกในปี 2560 ที่ปรับตัวสูงกว่าระดับ 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยราคาเฉลี่ยทั้งปี 2,884 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยของปี 2559 ที่ 2,091 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

ดังนั้นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัท สามารถสร้างรายได้และทำกำไรได้อย่างเต็มพิกัดจากสต็อกโลหะสังกะสีที่ผลิตจากแร่เหมืองแม่สอดที่มีต้นทุนต่ำมากที่มีอยู่จำนวนกว่า 30,000 ตัน ซึ่งได้กระจายการจำหน่ายให้กับลูกค้าในประเทศ  นอกจากนี้พีดีไอยังสามารถบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับรู้รายได้มากขึ้นจากธุรกิจใหม่ด้านพลังงานทดแทน

ถือว่าการเปิดช่องให้ทำกำไรได้อย่างเต็มที่จากโลหะสังกะสีที่ผลิตจากแร่แม่สอดที่มีต้นทุนต่ำ เสริมสร้างสถานะการเงินพีดีไอแข็งแกร่ง บรรลุผลสำเร็จในช่วงเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจสังกะสีสู่ธุรกิจใหม่ที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับ PDI

เนื่องจากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 ทางบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4,327.48 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 3,740.45 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิมากถึง 636.89 ล้านบาท หรือ 2.82 บาทต่อหุ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 352.22 ล้านบาท หรือ 1.56 บาทต่อหุ้น

ผลประกอบการที่ดีและมีกำไรสะสมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ PDI มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมากและมีกระแสเงินสดจำนวนมากที่พร้อมในการลงทุนโครงการใหม่ๆ

เนื่องด้วยทางบริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เนื่องจากสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 3,504.94  ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 1,440.08  ล้านบาท ได้ค่า Current Ratio อยู่ที่ระดับ 2.43 เท่า แสดงให้เห็นว่า บริษัทยังคงมีสภาพคล่องทางการเงินมากจริง ซึ่งพร้อมจะขยาย หรือลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ได้เต็มที่

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไปดูด้านหนี้สินของบริษัททำให้หมดห่วงไปเลย เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 2,813.96 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นแล้วที่มีมากถึง 4,816.03 ล้านบาท จะได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.58 เท่า บ่งบอกว่าบริษัทยังไม่มีหนี้สินเข้ามารบกวน

สิ่งสำคัญ ราคาหุ้นมีโอกาสไปได้อีก เพราะค่า P/E อยู่ที่ 6.20 เท่า ค่า P/BV อยู่ที่ 0.98 เท่า และมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น 21.31 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 56,499,900 หุ้น 25.00%
  2. กระทรวงการคลัง 31,200,000 หุ้น 13.81%
  3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 11,800,257 หุ้น 5.22%
  4. ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 7,301,070 หุ้น 3.23%
  5. นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ 4,684,000 หุ้น 2.07%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายอาสา สารสิน ประธานกรรมการ
  2. นายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานคณะกรรมการบริหาร
  3. นายสดาวุธ เตชะอุบล กรรมการ
  4. นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ
  5. นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการ

Back to top button