
SUN ปักธงรายได้ปี 68 เข้าเป้า 15% รับกินเจ-ส่งออกหนุน ดันกำลังผลิต RTE แตะ 70%
SUN มั่นใจครึ่งปีหลัง 2568 โตแรง รับยอดขายเทศกาลกินเจ-คำสั่งซื้อต่างประเทศหนุน หนุนกำลังผลิต RTE จาก 50-60% เพิ่มขึ้นเป็น 70% พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ 2-3 รายการ พ่วงเจาะตลาดอินโดนีเซีย-เวียดนาม และยุโรป มั่นใจดันรายได้ทั้งปีโตเข้าเป้า 10-15% พร้อมปักหมุด 3 ปี ใช้กำลังผลิตเต็ม 300,000 ชิ้นต่อวัน
นายวีระ นพวัฒนากร ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 86.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากรายได้รวมที่ขยายตัวแตะ 962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.30% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวาน
ทั้งนี้การส่งออกยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของรายได้รวม โดยผลิตภัณฑ์หลักคือข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องสร้างรายได้ราว 40-50% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่ตลาดเอเชียเป็นฐานสำคัญคิดเป็นประมาณ 50% โดยมีลูกค้าหลักอยู่ในญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ส่วนที่เหลือกระจายไปยังยุโรป ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกาเหนือ และอเมริกากลาง
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2568 รายได้จากการส่งออกในแต่ละไตรมาสมักจะใกล้เคียงกัน แต่ในไตรมาส 3/68 มักเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดหวานออกมามาก ทำให้สามารถผลิตได้ในปริมาณสูงและช่วยรักษาโครงสร้างต้นทุน อีกทั้งในช่วงปลายปีลูกค้าต่างประเทศจะทยอยสั่งสินค้าเพื่อรองรับเทศกาลและฤดูหนาว โดยมั่นใจว่ารายได้ปี 2568 จะเติบโตตามเป้าหมาย 10-15% และสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20% ในระยะยาว
ส่วนแผนธุรกิจด้านการตลาดบริษัทมีแผนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างประเทศเฉลี่ย 12 งานต่อปี หรือราวเดือนละ 1 งาน โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้เข้าร่วมแล้ว 6 งาน และในไตรมาส 3/2568 ได้เข้าร่วมงานที่อินโดนีเซียและเวียดนาม โดยอินโดนีเซียถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนและมีศักยภาพสูง โดยสินค้าพร้อมทานของ SUN ได้รับความสนใจจากร้านสะดวกซื้อรายใหญ่
ขณะที่เวียดนามนับเป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมงาน โดยพบว่าตลาดมีศักยภาพสูงจากจำนวนประชากรกว่า 100 ล้านคนและการลงทุนจากต่างประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทมีแผนเข้าร่วมงานสำคัญเพิ่มเติมที่ออสเตรเลีย เยอรมนี จีน (เซี่ยงไฮ้) และสหรัฐอเมริกา
ด้านการลงทุนบริษัทเดินหน้าพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Tetra Recart เพื่อตอบรับกระแสความยั่งยืนและการลดโลกร้อน โดยคาดว่าโรงงานผลิตข้าวโพดหวานในบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2569 และจะเริ่มทดลองผลิตในปลายปี 2568 เพื่อเจาะตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และสแกนดิเนเวีย
ขณะเดียวกันบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจ สินค้าพร้อมทาน (Ready-to-Eat: RTE) ผ่านโครงการ Mini Factory 2 แห่ง ได้แก่ Mini Factory 1 กำลังการผลิต 100,000 ชิ้นต่อวัน และ Mini Factory 2 ที่เพิ่งเปิดตัว มีกำลังการผลิต 200,000 ชิ้นต่อวัน รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 300,000 ชิ้นต่อวัน โดยปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตราว 50-60% หรือเฉลี่ย 150,000-180,000 ชิ้นต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 60-70% ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568
อีกทั้งมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ 2-3 รายการ เพื่อกระตุ้นยอดขาย นอกจากนี้ยังลงทุนในเครื่องจักร Repacking สำหรับมันหวานจากเยอรมนี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนเทศกาลกินเจ รวมถึงเพิ่มกำลังผลิตถั่วลายเสือเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดียวกัน อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาสินค้า RTE จาก 7-10 วัน เป็น 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อรองรับการขยายตลาดต่างประเทศ
สำหรับโครงการ Mini Factory ทั้งสองแห่งยังได้รับสิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 100% ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยบริษัทตั้งเป้าการใช้กำลังการผลิตเต็ม 300,000 ชิ้นต่อวันภายใน 3 ปี
ส่วนกรณี “ภาษีทรัมป์” ที่ทำให้อัตราภาษีนำเข้าข้าวโพดหวานในสหรัฐฯ อยู่ที่ 19% บริษัทชี้แจงว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากแทบไม่ได้ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง แต่ยังคงหาตลาดทดแทนในอเมริกากลางและหมู่เกาะแคริบเบียน ขณะเดียวกันได้บริหารความเสี่ยงค่าเงินด้วยการทำสัญญาขายเงินตราล่วงหน้า (Forward Contract) ประมาณ 50-60% ของออเดอร์ พร้อมทั้งพิจารณาใช้สกุลเงินอื่นและส่งเสริมการชำระเงินเป็นเงินบาทหากเป็นไปได้