SET ฟื้นตัวแรงในรอบ 1 เดือน! โบรกฯแนะสอย 13 หุ้นพื้นฐานแกร่งราคา Laggard กลุ่ม-ตลาดฯ

SET ฟื้นตัวแรงในรอบ 1 เดือน! โบรกฯแนะสอย 13 หุ้นพื้นฐานแกร่งราคา Laggard กลุ่ม-ตลาดฯ


ช่วงนี้ดัชนี SET Index ฟื้นขึ้นมาเร็วกว่า 29% โดยเทียบจากจุดต่ำสุดที่ระดับ 969.08 จุด ณ วันที่ 13 มี.ค.63 จนถึงล่าสุดอยู่ที่ 1256.35 จุด ณ วันที่ 14 เม.ย.63  เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในไทยชะลอลงต่ำกว่า 50 คน พร้อมกับอาจมีมาตรการลดระดับ Lock Down หรือเพิ่มปริมาณธุรกิจมากขึ้นทำให้หุ้นพื้นฐานแกร่งที่ราคาลงลึกเริ่มฟื้นตัวกลับอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นพื้นฐานแกร่งหลายตัวที่ยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดและกลุ่มอุตสาหกรรม ดังน้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลุ่มหุ้นดังกล่าวมานำเสนอโดยอาศัยข้อมูลประกอบจากบทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส และบล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ซึ่งกลุ่มหุ้นดังกล่พื้นฐานแข็งแกร่งที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด อาทิ LH,RS,MINT,KKP,MC,KCE,MAJOR, MTC,TASCO,THG,SPRC,BEM,AP

 

บล.เอเซีย พลัส กลยุทธ์การลงทุนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศที่ลดต่ำลง ทำให้ Sentiment ดูผ่อนคลายมากขึ้น โดยเริ่มเห็นข้อเสนอให้เตรียมผ่อนปรนเพื่อเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามเม็ดเงินที่เข้ามาขับเคลื่อนยังมาจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลักทำให้ Upside ของตลาดยังจำกัด แนะนำปรับพอร์ต โดยขายทำกำไร SEAFCO และ TFG แล้วนำเงินไปลงทุนเพิ่มใน RS หุ้น Top Picks เลือก LH (FV@B 11.10) และ RS (FV@B 13)

ตลาดยังรอแรงผลักจาก Fund Flow เน้นหุ้น Laggard LH RS SET Index ฟื้นขึ้นมาเร็วเกือบ 27% จากจุดต่ำสุดที่ 969.08 จุด ณ วันที่ 13 มี.ค. 2563 ด้วย reaction ในความคาดหวังว่า เริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในไทยชะลอลงต่ำกว่า 50 คนติดต่อกัน 4 วัน พร้อมกับอาจมีมาตรการลดระดับ Lock Down หรือเพิ่มปริมาณธุรกิจมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า SET Index อาจเป็นลักษณะขยับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาเป็นปกติ  รวมถึงตลาดยังขาด Fund Flow จากต่างชาติที่เข้ามาช่วยหนุน หลังจากต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.33 แสนล้านเหรียญ (ytd) เนื่องจากเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เป็นการเยียวยาผลกระทบที่เกิดในจากภาคธุรกิจ อย่าง SME และการจัดการทางด้านสาธารณสุขเป็นหลัก

ทำให้ SET Index อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นได้ร้อนแรงเหมือนหลังวิกฤตซับไพร์มที่มีการใช้ QE อย่างต่อเนื่อง หนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาสั้นๆสูงถึง 1.27 แสนล้านบาท (ช่วง มี.ค. 52 – ธ.ค. 53) ผลักดัน SET Index ทะยานจาก 431.52 จุด ขึ้นไปอยู่ที่ 1032.76 จุด หรือปรับขึ้นเร็วกว่า 139% ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี

ดังนั้นกลยุทธ์ในการลงทุน ยามที่ตลาดยังรอ Fund Flow หนุน แนะนำหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ยังปรับตัวขึ้นมาได้น้อยกว่าตลาด อย่าง LH และ RS เป็น Top Picks

 

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุกลยุทธ์ว่า แนวโน้มดัชนี SET ในสัปดาห์นี้คาดเปิดขึ้นมาน่าจะยังแกว่งตัวในกรอบแคบเพื่อรอในประเทศและสหรัฐ จะชะลอตัวหรือไม่ และสุดท้ายไปลุ้นงบไตรมาส 1/63 ของกลุ่มธนาคาร หากปัจจัยเหล่านี้ยังหนุนตลาด คาดดัชนี SET น่าจะขึ้นไปยืนเหนือ 1250+/- จุด แต่หากเริ่มไม่ไหวคาดดัชนีจะลงมาเล่นต่ำกว่า 1200 จุด

ส่วนสัปดาห์นี้ถือว่าเป็นสัปดาห์ที่จะตัดสินว่าจะขายหรือถือหุ้นต่อ เพราะเป็นสัปดาห์ที่จะบอกได้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐและไทย มองงบไตรมาส1/63 อย่างไรกลุ่มที่มองว่าจะสลับตัวขึ้นมาเล่นในช่วงที่ตลาดอาจผันผวนขึ้นมาอีก คือ กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี สื่อสาร ผลิตไฟฟ้า ส่วนกลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์ คงจะกลับมาคึกคักหลังงบออก ทั้งขายและซื้อ ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลดัชนีในสัปดาห์นี้คือ ราคาน้ำมัน ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ

นอกนั้นจะเป็นงบไตรมาส1/63 ของกลุ่มธนาคารและตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและจีน หากปัจจัยดังกล่าวออกมาในเชิงลบ คาดดัชนี SET จะเริ่มเผชิญกับแรงขายทันที

โดยกลยุทธ์ลงทุนเน้นThemes play : Laggard Play : ได้ทำการศึกษาหุ้นในแต่ละกลุ่มที่ยัง laggard กลุ่มอยู่ โดยพิจารณาจากราคาหุ้นที่ฟื้นตัวน้อยกว่ากลุ่มและตลาดในช่วง 1 เดือน (SET +10.1%, RSl 54.85 ) ที่ผ่านมาและระดับ RSI (เป็นดัชนีวัดโมเมนตัมของราคาหุ้น)ต่ำกว่าตลาดโดยหุ้นที่น่าสนใจในแต่ละกลุ่มประกอบด้วย

กลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว MINT  -29.0% MTD และ RSI 45.84,กลุ่มอสังหาฯ LH  -11.7% MTD และ RSI 50.55,กลุ่มธนาคาร KKP  -18.0% MTD และ RSI 45.05,กลุ่มค้าปลีก MC  -4.3% MTD และ RSI 50.84,กลุ่มอิเลกโทรนิคส์ KCE -19.3% MTD และ RSI 47.18,กลุ่ม Media MAJOR  -22.8% MTD และ RSI 45.75,กลุ่ม consumer finance MTC  -34.3% MTD และ RSI 53.35,กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO -13.5% MTD และ RSI 45.42,กลุ่มโรงพยาบาล THG  -11.5% MTD และ RSI 48.60,กลุ่มพลังงาน SPRC  -23.2% MTD และ RSI 41.62,กลุ่มขนส่ง BEM -2.9% MTD และ RSI 54.53

อีกทั้งแนะนำ ซื้อเก็งกำไร AP โดยมีราคาเป้าหมาย 8.20 บาท หลังราคาหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นช้ากว่า (laggard) กลุ่มอสังหาฯ (prop +8.3%) และตลาดฯ (SET +9.6%) ใน 1 เดือนที่ผ่านมา โดย AP ราคาปรับลดลง -1.0% โดย AP มียอด Presales ไตรมาส1/63 รวม 6 พันล้านบาทหรือลดลง 52% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานที่สูงในปี 2562 และบริษัทไม่ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ทั้งนี้บริษัทมี presales สูงในไตรมาส1/62 ก่อนการประกาศใช้เกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดในเดือนเม.ย. 2562

โดยปีนี้ AP เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแล้ว 4 โครงการระหว่างวันที่ 22-23 ก.พ. และสามารถทำ presales รวม 800 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ ขณะที่บริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่า 4.715 หมื่นล้านบาท และประมาณ 74% จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ

โดยมองว่าผู้ประกอบการที่มสัดส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบในพอร์ตสูงและมีงบดุลแข็งแกร่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าจึงเลือก SPALI, LH และ AP เป็นหุ้น Top pick โดยราคาหุ้น AP ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ PER 2020 ต่ำเพียง 4.1 เท่าและอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึง 10.1%

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button