ซ้ำรอยเดิมโมนิก้าและทีมงาน

*ดูไป..ดูมา สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นต่างประเทศ วนเวียนซ้ำซาก เสมือนพายเรือวนในอ่างก็จริง แต่ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเป็นจังหวะของการเรียนรู้ปัจจัยต่างๆ ว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากขนาดไหน? อาทิเช่น ทิศทางของดัชนีดาวโจนส์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ภาวะเศรษฐกิจของจีน การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือแม้กระทั่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญนะคะ


*ดูไป..ดูมา สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นต่างประเทศ วนเวียนซ้ำซาก เสมือนพายเรือวนในอ่างก็จริง แต่ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเป็นจังหวะของการเรียนรู้ปัจจัยต่างๆ ว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากขนาดไหน? อาทิเช่น ทิศทางของดัชนีดาวโจนส์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ภาวะเศรษฐกิจของจีน การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือแม้กระทั่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญนะคะ

*ฉะนั้นอย่าได้เบื่อหน่ายกับประเด็นที่ “โมนิก้า” พยายามพูดย้ำหัวหมุดตัวเดิมทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะมันยังเป็นภาพเดิมๆ ที่เวียนมาบรรจบอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวที่กระชากขึ้นอย่างร้อนแรงไปเมื่อวันก่อน วันนี้อ่อนตัวกลับลงมาใกล้ๆ กับจุดที่เริ่มสตาร์ท มันเป็นภาพที่ฟ้องให้เห็นถึงยุทธการ “ตีหัวเข้าบ้าน”  ซึ่งนักลงทุนนิยมนำมาเล่นในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเจ้าค่ะ

*จุดสำคัญที่ “โมนิก้า” พยายามละไว้ในฐานที่เข้าใจก็คือ ท่าทีของพวกกองทุนขี้ตืด กับฝรั่งตาน้ำข้าว ยังนิยมวิธีการแบบ “ดันหุ้นเพื่อปล่อยของ” กับ “ทุบหุ้นเพื่อรับของ” อยู่ใช่ไหม?..หากยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ย่อมมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะอ่อนตัวลงอีกในไม่ช้า เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าจะเห็นว่า ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เกิดความมั่นใจสุดๆ เดี๊ยนถึงต้องพุ่งเป้าไปยังเรื่อง “รักสั้น ขยันซอย” ไงล่ะค่ะ

*โดยเฉพาะในรายของ TRUBB กระชากขึ้นมาปิดที่ 1.55 บาท บวกไป 0.22 บาท หรือขึ้นไป 16.50% ด้วยมูลค่า 92 ล้านบาท มันเป็นผลมาจากตลาดฯ ปลดเครื่องหมาย H หลังจากมีการเล่นข่าวกำไรปี 58 อยู่ในระดับ 6 ล้านบาทนั้น “โมนิก้า” ถือเป็นการสร้างกระแสเพื่อไม่ให้คนลืม งานนี้ถึงไม่มีความจำเป็นต้องเม้าท์ถึงเรื่องเทิร์นอะราวด์ เพราะทุกคนรู้ดีว่า การกลับมาเที่ยวนี้เป็นแค่ระยะสั้นๆ นะคะ

*โหดสุดๆ ในเกมนี้ “โมนิก้า” ขอพุ่งเป้าไปยัง TAPAC หุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับชิ้นส่วนพลาสติกที่ใช้ในธุรกิจไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งของมันเห็นกันอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่า ธุรกิจเป็นแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นจนเข้าตากรรมการ แต่ดันไล่ราคากันอย่างบ้าระห่ำ จนหุ้นขึ้นไปยืนแถว 22-23 บาท ทั้งที่ค่า P/E ปาเข้าไป 125 เท่า มันมองได้แค่มุมเดียวคือมี “เจ้ามือ” คอยดูแลหุ้น..ล่าสุดประกาศยกเลิกเพิ่มทุน 1 หุ้นเดิมต่อ 4 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 1 บาท ทั้งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเพิ่งผ่านวาระแบบนี้..บอกได้คำเดียวว่า ข้างนอกสุกสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง นะตัวเอง

*เหมือนกับในรายของ DCORP วาดฝันโปรเจ็กต์อย่างสวยหรู พอเริ่มเดินเครื่องอย่างจริงจัง ราคาหุ้นกลับไม่ขานรับแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่เป็นประเด็นอย่างแน่นอน “โมนิก้า” ถึงเห็นราคาหุ้นไถลลงอย่างช้าๆ ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 58 จากที่เคยยืนที่ระดับ 12 บาท ล่าสุดหุ้นยืนอยู่ที่ 8.30 บาท ลบไป 0.05 บาท  แสดงว่า วงแตกกันหมดแล้ว จึงไม่มีเจ้าภาพเข้ามาดันหุ้นเหมือนแต่ก่อนเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ EFORL ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันกับรายข้างต้น แต่รายนี้แย่กว่าตรงที่ได้ใช้วิศวกรรมทางการเงินไปหมดแล้ว บวกกับเหล่าผู้เล่นเริ่มรู้ทันการโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา จึงไม่มีใครคิดจะถือหุ้นต่อไปอีกแล้ว วันนี้ถึงเห็นหุ้นยืนอยู่ที่ระดับ 0.72 บาท ลบไป 0.03 บาท หรือลงไป 4%  “โมนิก้า” ถึงกล้าพูดอย่างไม่เหนียมอายว่า เกมจบแล้ว!

*ผิดกับในรายของคนขายกล้อง BIG ยังคงเฉิดฉายบนกระดาน most volume ได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง แม้ราคาหุ้นจะไม่เร่าร้อนเท่าหุ้นดาวรุ่งผีพุ่งใต้ แต่เป็นหุ้นที่ยืนระยะได้ค่อนข้างดี “โมนิก้า” ถึงต้องหวนกลับมาเม้าท์ถึงหุ้นตัวนี้อีกครั้ง แถมวานนี้หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.73 บาท บวกไป 0.09 บาท หรือขึ้นไป 5.50%  ด้วยมูลค่า 320 ล้านบาท มันเป็นจังหวะ follow buy เพื่อลุ้นทำ double top ที่ระดับ 1.80 บาทนะคะ

*ส่วนคนที่ชอบอะไรที่ยาวขึ้นมานิดหนึ่ง “โมนิก้า” ขอแนะนำให้ดูทีเด็ดอย่างหุ้น ASEFA ไว้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ราคาหุ้นไต่ระดับขึ้นอย่างช้าๆ จนวานนี้ขึ้นไปทำจุดสูงสุด 6.35 บาท หลังจากนั้นโดนถล่มแบบไม่เลี้ยง ส่งผลให้หุ้นลงมาปิดที่ 5.95 บาท ลบไป 0.10 บาท มันไม่ได้ทำให้เดี๊ยนรู้สึกหวั่นไหวแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เดี๊ยนสนใจคือแพตเทิร์นของหุ้น ซึ่งมีกรอบล่างอยู่ที่ระดับ 5.30 บาท และมีกรอบบนอยู่ที่ระดับ 6 บาท รูปแบบการเคลื่อนตัวของหุ้นถึงเป็นลักษณะ w-shape จะบอกให้

*สำหรับในรายของ COM7 มีการสะสมกำลังซื้อเข้ามาตลอดเวลา ฐานแนวรับของหุ้นถึงยกตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 6 บาท บวกไป 0.35 บาท หรือขึ้นไป 6.20% ด้วยมูลค่า 920 ล้านบาท พร้อมกับทำ new high “โมนิก้า” ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่นักเล่นต้องเริ่มคิดต่อแล้วว่า โอเว่อร์แวลูหรือยัง? เนื่องจากค่า P/E ล่าสุดขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 28 เท่าแล้วนะซี

*ป.ล. แม้วานนี้กองทุนขี้ตืดจะแสดงยอดซื้อกว่า 500 ล้านบาท แต่เป็นการซื้อเมื่ออ่อนตัวเป็นหลัก ดัชนีถึงร่วงลงมาอยู่ที่ 1,263.29 จุด ลบไป 15.32 จุด ด้วยมูลค่า 4.56 หมื่นล้านบาทอย่างง่ายดายไงล่ะค่ะ

Back to top button