AOT เด้งแรง 4% นำกลุ่มสายการบิน-โรงแรม! เก็งทัวร์จีนหวนเที่ยวไทย หลังแห่ยกเลิกบินญี่ปุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 พ.ย. 68) ราคาหุ้นกลุ่มมท่องเที่ยวปรับตัวขึ้นยกแผง ณ เวลา 11.00 น. นำโดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 41.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.38% สูงสุดที่ระดับ 41.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 411.16 ล้านบาท

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 9.60 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 6.67% สูงสุดที่ระดับ 9.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 380.59 ล้านบาท

บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.09 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 3.81% สูงสุดที่ระดับ 1.09 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.06 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15.34 ล้านบาท

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 14.50 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.84% สูงสุดที่ระดับ 14.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 72.48 ล้านบาท

บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 9.95 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 2.05% สูงสุดที่ระดับ 10.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.52 ล้านบาท

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.24 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.90% สูงสุดที่ระดับ 2.26 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.06 ล้านบาท

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT  ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 20.40 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.49% สูงสุดที่ระดับ 20.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 43.86 ล้านบาท

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 33.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.76% สูงสุดที่ระดับ 33.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 33 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 14.54 ล้านบาท

โดย AOT มีกำหนดประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (20 พ.ย. 2568) เพื่อพิจารณาผลการดำเนินงานไตรมาส 4 และงบปีงบประมาณล่าสุด ซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมากว่าตัวเลขผลประกอบการจะออกมาในทิศทางใด

ทั้งนี้ ตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากกรณีที่ทางการจีนประกาศยกเลิกตั๋วกว่า 491,000 ใบ สำหรับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น จากความตึงเครียดทางการทูตระหว่างสองประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากอาจเปลี่ยนเส้นทางมายังประเทศไทยแทน ประเด็นดังกล่าวถูกประเมินว่าเป็นปัจจัยบวกต่อปริมาณผู้โดยสารและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

ด้านบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะตึงเครียด ล่าสุดจีนได้สั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ที่ออกประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ส่งผลให้มีการยกเลิกการท่องเที่ยวเป็นวงกว้าง

ข้อมูลจาก Qunar แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์รายใหญ่ของจีนระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนยังคงต้องการเดินทางไปยังประเทศไทย ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ขณะที่ Tuniu Corp ผู้ให้บริการทัวร์ในมณฑลเจียงซูเผยว่า มีการยกเลิกกรุ๊ปทัวร์ไปญี่ปุ่นสูงกว่าปกติ ด้าน Spring Airlines ซึ่งให้บริการเที่ยวบินเชื่อมต่อเซี่ยงไฮ้กับหลายเมืองในญี่ปุ่นได้ยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนเช่นกัน

ความตึงเครียดดังกล่าวยังขยายไปสู่ภาควัฒนธรรม โดยจีนประกาศระงับการฉายภาพยนตร์จากญี่ปุ่นอย่างน้อย 6 เรื่อง ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่นยังคงถูกกดดัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งมีภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นราว 7% ของ GDP และกว่า 20% เป็นนักท่องเที่ยวจากจีนและฮ่องกง

อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อประเทศไทยถูกประเมินว่าเป็นบวก เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนให้ความสนใจ โดยหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมีโอกาสได้รับอานิสงส์ชัดเจน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีฯ ยกให้ CENTEL เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มด้วยราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 37.50 บาท พร้อมแนะนำ ERW และ AOT เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์เช่นกัน

นอกจากนี้ กลุ่มส่งออกอาหารทะเลไทยยังอาจได้รับผลดีจากคำสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายส่วนแบ่งตลาดในช่วงที่ญี่ปุ่นสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้จิตวิทยาบวก ได้แก่ ASIAN และ TU

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในสัปดาห์ล่าสุดแตะระดับ 700,000 คน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยวสูง (High Season) และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสนามบิน